The Boys Season 3 เรื่องราวต่อเนื่องมาสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อเหตุการณ์สตอร์มฟรอนต์ (เอยา แคช Aya Cash) ก่อกบฏได้สิ้นสุดลงในซีซันที่แล้ว โฮมแลนด์เดอร์ (แอนโทนี สตาร์ Antony Starr) ที่คะแนนนิยมเสื่อมลงมากได้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยเอดการ์ (จิอันคาร์โล เอสโปซิโต Giancarlo Esposito) ประธานของบริษัทวอจธ์ จนเขาเองต้องยอมให้สตาร์ไลต์ (อีริน มอริอาร์ตี Erin Moriarty) ขึ้นมาเป็นผู้นำร่วมของเดอะเซเว่น ด้านฝั่งนักล่ายอดมนุษย์เองก็เปลี่ยนท่าทีไป เมื่อ ฮิวอี้ (แจ็ก เควด Jack Quaid) ได้ทำงานใต้หน่วยงานควบคุมฮีโรของวุฒิสมาชิกนิวแมน (คลอเดีย ดูมิต Claudia Doumit) และคอยสั่งการทีมของบุตเชอร์ (คาร์ล เออร์แบน Karl Urban) คอยปราบปรามเหล่าซูปที่แหกกฎโดยไม่ใช่ความรุนแรงอีก บุตเชอร์หลังสูญเสียภรรยาที่รักไปก็ตัดสินใจดูแลลูกชายของเธออย่างไรอัน (คาเมรอน โครเวตติ Cameron Crovetti) โดยฝากฝังไว้กับซีไอเอเฒ่าอย่างเกรซ (ไลลา โรบินส์ Laila Robins) ทุกอย่างดูน่าจะดีขึ้น ทว่าไม่นานโฮมแลนด์เดอร์ก็เริ่มขบถอีกครั้ง และครั้งนี้ยิ่งจะรับมือได้ยากขึ้นทวีคูณทั้งจากฝั่งพระเอกและฝั่งบริษัทวอจธ์เมื่อตัวเขาไม่เหลืออะไรจะต้องเสียอีกแล้ว
The post [รีวิวซีรีส์] The Boys Season 3 (Ep. 1-3): เดินหน้าโหดตลกร้ายแบบเข้ม ๆ เล่นจนคนดูเหวอ appeared first on #beartai.
เรื่องราวต่อเนื่องมาสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อเหตุการณ์สตอร์มฟรอนต์ (เอยา แคช Aya Cash) ก่อกบฏได้สิ้นสุดลงในซีซันที่แล้ว โฮมแลนด์เดอร์ (แอนโทนี สตาร์ Antony Starr) ที่คะแนนนิยมเสื่อมลงมากได้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยเอดการ์ (จิอันคาร์โล เอสโปซิโต Giancarlo Esposito) ประธานของบริษัทวอจธ์ จนเขาเองต้องยอมให้สตาร์ไลต์ (อีริน มอริอาร์ตี Erin Moriarty) ขึ้นมาเป็นผู้นำร่วมของเดอะเซเว่น
ด้านฝั่งนักล่ายอดมนุษย์เองก็เปลี่ยนท่าทีไป เมื่อ ฮิวอี้ (แจ็ก เควด Jack Quaid) ได้ทำงานใต้หน่วยงานควบคุมฮีโรของวุฒิสมาชิกนิวแมน (คลอเดีย ดูมิต Claudia Doumit) และคอยสั่งการทีมของบุตเชอร์ (คาร์ล เออร์แบน Karl Urban) คอยปราบปรามเหล่าซูปที่แหกกฎโดยไม่ใช้ความรุนแรงอีก บุตเชอร์หลังสูญเสียภรรยาที่รักไปก็ตัดสินใจดูแลลูกชายของเธออย่างไรอัน (คาเมรอน โครเวตติ Cameron Crovetti) โดยฝากฝังไว้กับซีไอเอเฒ่าอย่างเกรซ (ไลลา โรบินส์ Laila Robins)
ทุกอย่างดูน่าจะดีขึ้น ทว่าไม่นานโฮมแลนด์เดอร์ก็เริ่มขบถอีกครั้ง และครั้งนี้ยิ่งจะรับมือได้ยากขึ้นทวีคูณทั้งจากฝั่งพระเอกและฝั่งบริษัทวอจธ์เมื่อตัวเขาไม่เหลืออะไรจะต้องเสียอีกแล้ว
นี่เป็นการกลับมาครั้งที่ 3 สำหรับซีรีส์ซูเปอร์ฮีโรสายโหดแถมตลกร้ายแบบกวนยับ หลังจากปล่อยให้ HBO มี ‘Peacemaker’ มาเขย่าชิงความนิยมในแนวทางเดียวกันเมื่อต้นปี มาถึงกลางปีเพียงเปิดมาได้ 3 ตอนแรกก็คงต้องบอกว่าถึงเวลาราชากลับมาทวงบัลลังก์แล้ว เพราะ ‘The Boys’ ซีซันที่ 3 นี้ยังมีมนต์ขลังในความตลกร้ายสายโหดแบบเดาทางอะไรไม่ได้เลย แถมนอกจากทีเล่นที่สุดกวนแล้ว ทีจริงของมันก็ยังทำขนลุกหนาวสันหลังได้เช่นเดิม
อ่านรีวิวซีซันแรก ที่นี่
อ่านรีวิวซีซัน 2 ที่นี่
ปัจจัยความสำเร็จของซีรีส์ชุดนี้ยังคงถูกขยี้อย่างต่อเนื่องจากฝ่ายพระเอกที่มาแนวแอนตี้ฮีโรที่พร้อมเป็นปีศาจเพื่อฆ่าปีศาจ ยอมให้มีผู้บริสุทธิ์หรือแม้แต่พวกพ้องโดนลูกหลงกันจนเป็นเรื่องปกติ ราวกับว่าความโกรธของบุตเชอร์หัวหน้าทีมคือพลังนิวเคลียร์ที่ทำลายไม่เลือกหน้าเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย
แต่ก็ไม่ได้ย่ำกับที่ เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละครมากขึ้น ฮิวอี้ที่เลือกอะไรก็ผิดตลอดเป็นไอ้ขี้แพ้ตลอดก็เหมือนจะเป็นผู้เป็นคนขึ้น ในขณะที่บุตเชอร์ก็ยอมรับว่าความโกรธเกรี้ยวของเขาไม่ได้แก้ไขอะไรให้ดีขึ้น ได้เรียนรู้จากการสูญเสียภรรยา รวมถึงการได้พบกับไรอันเด็กน้อยที่ต้องการผู้ปกครองคนใหม่ บุตเชอร์ก็ดูจะมีด้านที่อ่อนโยนขึ้น ตรงนี้ทำให้เคมีความสัมพันธ์ของกลุ่มตัวละครค่อนข้างต่างจากซีซันก่อนหน้า และทำให้ลุ้นไปด้วยว่าอยากให้กราฟชีวิตพวกเขาทะยานขึ้นเสียทีหลังจากดิ่งจมเหวกันมาหลายปี
แต่อีกสิ่งที่เราจะได้ลุ้นแทบตลอดในช่วงนี้คือตัวละครจะทำลายชีวิตดี ๆ ของตัวเองอีกเมื่อไหร่กันแน่ ซึ่งแฟน ๆ ต่างรู้ดีว่าพวกพระเอกมันก็เหมือนระเบิดเวลาดี ๆ นี่เอง อย่างไรเสียมันต้องหมดเวลาทำตัวเป็นคนดีไม่ช้าก็เร็ว
ซึ่งน่าสนใจขึ้นด้วยเพราะตัวบุตเชอร์เองได้รับยาเพื่อกลายเป็นยอดมนุษย์ที่เขาเกลียดนักหนามา เขาจะยอมทำลายศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อเป้าหมายคือทำลายโฮมแลนด์เดอร์และบริษัทวอจธ์ได้มากแค่ไหน ดูจะเป็นตัวแปรสำคัญเช่นกันในซีซันนี้
นอกจากนี้จุดที่ทำให้เราตราตรึงอยู่กับเรื่องราวก็คงไม่พ้นเหล่าตัวร้ายที่มีเอกลักษณ์สูง แม้ในซีซันก่อนหน้าเราจะได้เห็นการพังทลายและด้านอ่อนแอขั้นสุดของเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ในซีซันนี้เราก็จะยังได้เห็นพัฒนาการขั้นต่อไปของโฮมแลนด์เดอร์ในฐานะตัวร้ายหลักไปอีก และเป็นสิ่งที่ตัวละครรวมถึงคนดูกลัวมาตลอด นั่นคือเมื่อใดที่เขาพังทลายจนไม่สนใจหน้าตาชื่อเสียงหรืออีโก้ใด ๆ แล้วก็ตาม มันก็เหมือนสัตว์ร้ายที่ไร้ปลอกคอหรือโซ่ล่าม ในซีซันนี้เราน่าจะสัมผัสความหวาดผวาที่ก่อรอบตัวเขาได้มากขึ้นด้วย
จากความรู้สึกส่วนตัวที่ดูมาถึงตอนนี้ ต้องบอกว่าในซีซันนี้เนื้อหาขยับไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่อิดออดยื้อจำนวนนาทีให้นานเท่าไรนัก บทความสัมพันธ์ตัวละครถ้าใครเคยรำคาญฉาก เช่น โบรแมนซ์ง้องอนระหว่างฮิวอี้กับบุตเชอร์ หรือความงี่เง่าระหว่างฮิวอี้กับสตาร์ไลต์ ในซีซันนี้ก็แทบไม่มีช่วงน่าเบื่อแล้ว เส้นเรื่องต่าง ๆ ถูกวางอย่างเหมาะสมให้ลุยไปข้างหน้าลูกเดียว
ฮิวอี้พบว่านิวแมนเป็นซูปจอมระเบิดหัวคนและต้องพยายามทำงานใกล้ ๆ โดยไม่ให้เธอจับพิรุธได้ พวกบุตเชอร์พบว่าในอดีตเคยมีซูปที่ชื่อ โซลเยอร์บอย (ประมาณกัปตันอเมริกา) (เจนเซน แอ็กเคิลส์ Jensen Ackles) ซึ่งแข็งแกร่งพอ ๆ กับโฮมแลนด์เดอร์เคยถูกพวกโซเวียตใช้อาวุธบางอย่างฆ่าตายจึงออกตามหาเบาะแสหาวิธีฆ่าโฮมแลน์เดอร์
สตาร์ไลต์ถูกดันขึ้นมาเป็นผู้นำร่วมกับโฮมแลนด์เดอร์แต่ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งหนีจากเขายากมากขึ้น โฮมแลนด์เดอร์หลังจากสูญเสียคนรักอย่างสตอร์มฟรอนต์และถูกหันหลังให้จากบริษัทเขาก็เหมือนเกลียวเชือกที่ตึงจวนเจียนจะขาดอยู่ทุกขณะ ในขณะเดียวกันเอดการ์ก็ยังคงคุมเกมและอ่านทางยากว่าซ่อนไพ่ในมืออะไรไว้อีกบ้างแต่เราก็เริ่มเห็นปูมหลังของเขามากขึ้นแล้ว เมื่อทุกเส้นทางของแต่ละตัวละครมาบรรจบกันทำให้ซีซันนี้มีคู่ขัดแย้งหลายฝ่ายที่น่าจะมันที่สุดในทุกซีซันที่ผ่านมาได้เลย
นอกจากเรื่องเนื้อหาที่คมเข้ม ด้านของความกวนและคาดเดาไม่ถูกก็ยังสามารถทำเราอึ้งได้ตลอดเช่นกัน แค่เปิดมา 15 นาทีแรกของซีซันนี้ เราก็เจอทั้งมุกจิกกัดหนังข้ามค่ายทั้ง ดิสนีย์ วอร์เนอร์ (ซีรีส์นี้เป็นผลงานความร่วมมือระหว่างโซนี่และแอมะซอน) รวมถึงหนังซูเปอร์ฮีโรอีกสารพัด โดยเฉพาะการล้อยอดมนุษย์ที่มีพลังย่อร่างเหมือนแอนต์แมน แต่ใช้พลังเพื่อร่วมรักกับเกย์หนุ่มคนรักผ่านรู xxx ก็เป็นอะไรที่เกินจินตนาการผู้ชมไปไกลมาก และฉากจบของซีนนี้ก็ทำเราอ้าปากค้างกันได้เลยทีเดียว
ยังไม่นับเรื่องนักแสดงรับเชิญที่โผล่มาไม่กี่วินาทีแต่เซอร์ไพรส์จัด ๆ อย่าง ชาร์ลิซ เธอรอน (Charlize Theron) หรือ บิลลี เซน (Billy Zane) และอาจรวมถึง ไซมอน เพ็กก์ (Simon Pegg) ที่เคยโผล่มาก่อนหน้าหลายครั้งในบทพ่อของฮิวอี้อีกด้วย
ซีจีในซีซันนี้ก็ยังถึงเลือดเนื้อตับไตไส้พุงกันหนักเช่นเคย ใครแพ้เครื่องในต้องบอกเลยว่างดทานอาหารระหว่างรับชมจะดีต่อท้องมากที่สุดแล้ว มันจึงยังคงขี่คร่อมในการเป็นหนังฮีโรที่ผู้ใหญ่ดูได้ เด็กไม่ควรดู หรือเป็นหนังเฉพาะกลุ่มฮาร์ดคอร์ไปเลย อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ว่าใครรับฉากโหด ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะซีซันนี้เราได้เห็นการเจาะถ่ายภาพพวกชิ้นส่วนร่างกายที่ขาดกระจุยอยู่แบบไม่เหนียมอายเลยทีเดียว
ถ้าวัดจากตอนเปิด 3 ตอนแรก ตอนนี้ต้องบอกว่า ‘The Boys’ ซีซัน 3 คือความสุขในทุกนาทีสำหรับคอโหดที่เบื่อหนังฮีโรสายโลกสวยจริง ๆ และซีรีส์จะมาตอนละสัปดาห์ทุกวันศุกร์จนจบซีซัน ในวันที่ 8 กรกฎาคม รวมทั้งสิ้น 8 ตอน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส
The post [รีวิวซีรีส์] The Boys Season 3 (Ep. 1-3): เดินหน้าโหดตลกร้ายแบบเข้ม ๆ เล่นจนคนดูเหวอ appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/