คาดคั้นให้อีกฝ่ายเผยข้อมูลที่ต้องการ ถ้าอีกฝ่ายยังยืนกรานปฏิเสธ หรือตอบว่าไม่รู้ ก็จะโดนทำร้ายทุบตี เหล่านี้ล้วนเป็นภาพจำที่เรารับมาจากหนังฮอลลีวูด ซึ่งก็ไม่แน่ว่าการสอบปากคำด้วยวิธีการโหดร้ายเช่นนี้ จะได้ข้อมูลทีเป็นความจริงเสมอไปหรือไม่ เพราะผู้ถูกกระทำอาจจะตอบอะไรไปก่อนก็ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกประทุษร้ายต่อไป
The post รู้จักกับ Hanns Scharff เจ้าแห่งการสอบปากคำแห่งกองทัพนาซี ทำให้เชลยเผยความลับโดยไม่รู้ตัว appeared first on #beartai.
ถ้าเอ่ยถึงคำว่า “สอบสวน” หรือ “สอบปากคำ” ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวของหลาย ๆ คนน่าจะเป็นภาพเชลย หรือ ผู้กุมความลับโดนใส่กุญแจมือในห้องมืด ๆ มีโคมไฟตั้งโต๊ะส่องหน้า ผู้สอบปากคำทำหน้าเครียด เสียงดุ คาดคั้นให้อีกฝ่ายเผยข้อมูลที่ต้องการ ถ้าอีกฝ่ายยังยืนกรานปฏิเสธ หรือตอบว่าไม่รู้ ก็จะโดนทำร้ายทุบตี เหล่านี้ล้วนเป็นภาพจำที่เรารับมาจากหนังฮอลลีวูด ซึ่งก็ไม่แน่ว่าการสอบปากคำด้วยวิธีการโหดร้ายเช่นนี้ จะได้ข้อมูลที่เป็นความจริงเสมอไปหรือไม่ เพราะผู้ถูกกระทำอาจจะตอบอะไรไปก่อนก็ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกประทุษร้ายต่อไป
แต่ที่จริงแล้ว การสอบปากคำเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการนั้น อาจไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการรุนแรงเสมอไป แล้วที่สำคัญ มักจะสำเร็จกว่าการใช้วิธีการรุนแรงเสียด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของ ฮานส์ ชาร์ฟ (Hanns Scharff) เจ้าหน้าที่สอบปากคำของกองทัพเยอรมัน ผู้ที่ได้รับการยกย่องในเวลาต่อมาว่าเป็น ปรมาจารย์แห่งการสอบปากคำ ผู้มีเทคนิคเฉพาะตัว และเทคนิคของเขาก็กลายเป็นหลักสูตรที่เจ้าหน้าที่สอบปากคำทั่วโลกยึดถือเป็นต้นแบบต่อกันมาจวบจนปัจจุบัน เรามาทำความรู้จักกับตัวตนและเรื่องราวของ ฮานส์ ชาร์ฟ กันครับ
ฮานส์เกิดใน ปรัสเซียตะวันออก เมื่อปี 1907 ปัจจุบันกลายเป็นประเทศโปแลนด์ไปแล้ว พ่อของเขาเป็นทหารในกองทัพ และเสียชีวิตในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างถูกส่งไปรบแนวหน้า แต่วีรกรรมของพ่อก็ได้รับ ตราเกียรติยศ กางเขนเหล็ก ถึง 2 ครั้ง นับเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว
ส่วนแม่ของฮานส์นั้น เธอมาจากตระกูลร่ำรวย เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้ายักษ์ใหญ่ในเยอรมนี นั่นจึงทำให้ฮานส์เติบโตมาในคฤหาสน์หลังโตของครอบครัวในเมือง ไลป์ซิก ในช่วงวัยเด็กนั้น ฮานส์ถูกปลูกฝังให้ร่ำเรียนทางด้านศิลปะ ขณะเดียวกันก็ฝึกงานในโรงงานไปด้วย เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับผ้าและการทอ แต่สุดท้าย พี่ชายของเขาก็รับช่วงบริหารธุรกิจโรงงานสืบต่อจากคุณตา ฮานส์จึงหันเหไปทำงานประจำที่ Alder Automotive บริษัทสัญชาติเยอรมัน แต่ก็ถูกส่งไปประจำที่สาขา โยฮานเนสเบิร์ก ในแอฟริกาใต้
ฮานส์รับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เขาคาดฝันไปว่า เขาน่าจะได้อยู่โยฮานเนสเบิร์กแค่ปีเดียว แล้วน่าจะถูกเรียกตัวกลับไปรับตำแหน่งเป็น หัวหน้าฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ แต่แล้วก็ฝันสลาย ฮานส์ต้องอยู่ในโยฮานเนสเบิร์กต่อไปอีก 10 ปี
แต่ในช่วงที่อยู่ในโยฮานเนสเบิร์กนั้น ก็ทำให้เขาพบรักกับ มากาเร็ต สาวอังกฤษ และต่อมาก็ได้เป็นภรรยาของเขา และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฮานส์พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
ในปี 1939 ฮานส์ได้พาครอบครัว ภรรยา ลูกชาย 4 คน และลูกสาว 1 คน บินกลับมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องในไลป์ซิก แต่ช่วงที่ยังอยู่ในไลป์ซิกนั้น สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อุบัติขึ้นพอดี ทำให้เขาต้องติดอยู่ในเยอรมนีต่อไป เพราะพรมแดนถูกสั่งปิด ความซวยมาเยือน ฮานส์ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร และมีแนวโน้มว่าจะถูกส่งไปรบแนวหน้า ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าถ้าเมื่อใดถูกส่งไปแนวหน้า ก็ทำใจได้เลยว่าโอกาสที่จะได้กลับมานั้นน้อยมาก พอรู้แบบนี้ มากาเร็ตก็ทำใจไม่ได้ เธอวิ่งเต้นหาทางช่วยเหลือสามีทุกวิถีทาง ในที่สุดเธอก็ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับท่านนายพลได้ เธอบอกกับนายพลว่า ฮานส์นั้นเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ สมควรที่จะได้ใช้ประโยชน์ตรงนี้จากเขา แทนที่จะส่งไปรบแนวหน้า นายพลฟังแล้วเห็นชอบด้วยตามนั้น จึงออกคำสั่งย้ายฮานส์ไปอยู่ หน่วยล่าม (interpreter unit)
แต่เมื่อมาอยู่หน่วยนี้แล้ว หน้าที่ที่ฮานส์ได้รับมอบหมาย ก็เป็นงานเอกสารระดับล่าง ส่วนใหญ่คืองานเจาะรูข้างเอกสาร เพื่อนำไปใส่แฟ้ม ซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อสุด ๆ ถึงขั้นฮานส์ต้องไปรายงานกับผู้บังคับบัญชาว่า ตำแหน่งหน้าที่ของเขานั้นสิ้นเปลืองมาก ต้นทุนแต่ละรูที่เขาเจาะไปนั้น ก็ประมาณรูละหนึ่งเพนนีเลยเชียว แม้ผู้บังคับบัญชาจะรับฟังความเห็นจากฮานส์แล้วจะไม่ชอบทัศนคติของเขา แต่ก็เล็งเห็นว่าฮานส์นั้นมีไหวพริบเฉลียวฉลาด ซึ่งควรจะใช้ประโยชน์จากข้อดีตรงนี้ จึงตัดสินใจส่งฮานส์ไปประจำใน ‘หน่วยสอบปากคำ’ (interrogation center) อยู่ในเมือง โอเบอเรเซล ทางตอนเหนือของแฟรงค์เฟิร์ต เชลยที่เป็นเหล่านักบินของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่ถูกจับได้จากแนวชายแดนตะวันตก จะต้องถูกส่งตัวมาสอบสวนที่หน่วยนี้เป็นอันดับแรก
งานแรกของฮานส์ก็คือ ตำแหน่งผู้ช่วยของเจ้าหน้าที่สอบสวน ในส่วนงานสอบสวนนักบินอเมริกัน เชลยส่วนใหญ่ที่ถูกส่งมามักจะเป็นนักบินในกองบินที่ 8 และ 8 ของสหรัฐฯ ระหว่างที่ประจำการอยู่ที่นี่ ฮานส์ไม่เคยได้รับการฝึกจากเจ้าหน้าที่สอบสวนแต่อย่างใด เขาอาศัยการสังเกตประกอบกับวิจารณญาณเรียนรู้ด้วยตัวเอง จนถึงวันที่เขาได้รับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่สอบสวน และด้วยเทคนิควิธีการเฉพาะตัวที่ได้ผลสัมฤทธิ์ยิ่งนัก ฮานส์ก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวนที่มีผลงานดีเลิศที่สุดในหน่วย เพราะฮานส์รู้ว่าเขาควรจะใช้เทคนิคจำเพาะแบบไหนกับเชลยแต่ละคน แล้วก็ทำสำเร็จได้ข้อมูลที่ต้องการเกือบทุกคนที่เขาสอบสวน และเทคนิคเฉพาะตัวของฮานส์นั้น เป็นไปโดยปราศจากความรุนแรง เขาไม่เคยต้องทรมานเชลย ไม่เคยใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ใด ๆ
แต่เทคนิคจำเพาะของฮานส์นั้นคือ ‘ความเป็นมิตร’ วิธีการที่ฮานส์ใช้บ่อยและสำเร็จที่สุด คือพาจำเลยไปเดินเล่นในป่า ซึ่งวิธีการนี้ล่ะ ที่เชลยแต่ละคนหลุดเผยข้อมูลสำคัญมาแบบไม่รู้ตัว
ฮานส์จะเริ่มต้นจากการเข้าไปตีสนิทกับเป้าหมาย เขาจะค่อย ๆ ทำให้เชลยรู้สึกไว้ใจว่าเขาคือทหารนาซีเพียงคนเดียวที่เป็นเพื่อนและพูดคุยได้เสมอ ระหว่างนั้นฮานส์ก็จะศึกษาข้อมูลส่วนตัวของเป้าหมายไปด้วย พอพูดคุยไปด้วย ฮานส์ก็จะค่อย ๆ คืบคลานลึกลงไปทีละนิด เอ่ยว่าเขาอยากรู้ข้อมูลส่วนตัวเพิ่มอีกเล็กน้อยเช่น หมายเลขประจำตัว และลำดับยศ ถ้าเพียงเชลยเป้าหมายเปิดเผยข้อมูลเล็กน้อยเหล่านี้ก็จะได้รับการปฏิบัติในฐานะ เจ้าหน้าที่สอดแนม ความเป็นอยู่ก็จะสบายขึ้น แทนที่จะถูกปฏิบัติในฐานะเชลยศึกที่ต้องลำบากอย่างเช่นทุกวันนี้
อีกเทคนิคที่ฮานส์ชอบใช้คือ ‘การตีเนียน’ เขาจะชวนคุยนู่นนี่ไปเรื่อย ๆ แล้วก็ทำเนียน ๆ หลอกล่อให้เชลยยืนยันเรื่องที่ทางกองทัพเยอรมันได้รู้มาก่อนแล้ว จุดมุ่งหมายหมายของฮานส์ก็คือ ต้องการคำยืนยันจากเชลยว่าข้อมูลที่ได้รับรู้มานั้นถูกต้องแล้ว ในขั้นตอนนี้ฮานส์ก็อาจจะได้ของแถมคือข้อมูลเพิ่มเติมที่ทางฝ่ายเยอรมันไม่เคยรู้มาก่อนอีกด้วย
วิธีการล่อหลอกตีเนียนของฮานส์นั้น เขาจะชวนเชลยไปเดินเล่นในป่า เขาขอให้เชลยยืนยันด้วยเกียรติทหารว่าจะไม่หลบหนีระหว่างเดินเล่นนี้ แล้วจะได้ไปเดินกันสบาย ๆ สองคน โดยที่ไม่ต้องมีทหารคุ้มกันตามมาด้วย แล้วฮานส์ก็ได้รับเกียรตินั้นจริง ๆ ไม่เคยมีเชลยพยายามหลบหนีระหว่างที่ไปเดินเล่นกับเขาสักคนเดียว ระหว่างที่เดินกันไปนั้น ฮานส์ก็ชวนคุยเรื่องราวสงครามบ้าง สัพเพเหระบ้าง แล้วก็แอบแทรก ๆ ถามถึงหน่วยที่เชลยเคยประจำการอยู่ เช่นใครเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยนั้น
แล้วทีเด็ดของฮานส์ก็คือ แกล้งเอ่ยข้อมูลบางอย่างออกมาผิด ๆ พอเชลยได้ยินก็จะแย้งด้วยการบอกข้อมูลที่ถูกต้องแทน ที่จริงคือแบบนั้นแบบนี้ต่างหาก เท่ากับเป็นการเผยข้อมูลสำคัญโดยที่ตัวเชลยเองไม่ทันรู้ตัว อย่างเช่น กองทัพเยอรมันเริ่มสังเกตเห็นว่า กระสุนนำวิถีของทหารสหรัฐฯ มี 2 สี คือสีขาว และ สีแดง (tracer rounds กระสุนปืนกล ในหนึ่งสาย 200 นัดจะมีกระสุนนำวิถี 40 นัด เป็นกระสุนเรืองแสง เพื่อให้ผู้ยิงมองเห็นทิศทางเป้าหมายที่ยิงไป) ฮานส์ก็แกล้งพูดไปตามที่เขาคาดเดาว่า ที่มันมี 2 สี นั้นอาจจะเป็นเพราะความผิดพลาดทางเคมีละมั้ง เชลยก็รีบแก้ข้อมูลให้ว่า กระสุนนำวิถีนั้นจะสีแดง แต่ที่เห็นสีขาวนั้นคือสัญญาณบอกว่ากระสุนใกล้หมดแล้ว
ตลอดช่วงเวลาที่ฮานส์ทำหน้าที่ ‘ผู้สอบสวน’ นั้น เขาสอบปากคำเชลยไปทั้งสิ้น 500 นาย ล้วนเป็นนักบินรบทั้งสิ้น เขาได้ข้อมูลเกือบทุกนาย พลาดไปแค่ 20 นายแค่นั้น
ฮานส์ ชาร์ฟ ในที่มาอยู่ในสหรัฐฯ แล้ว
ความเป็นมิตรที่ฮานส์มอบให้กับเชลยของเขานั้น ไม่ได้คงอยู่เพียงแค่ระหว่างทำหน้าที่เท่านั้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ฮานส์ก็ยังคงสานสัมพันธ์กับเชลยของเขาด้วยดีเสมอมา หนึ่งในนั้นคือ ผู้พัน ฮิวเบิร์ต เซมเก้ (Hubert Zemke) ที่พูดถึงอดีตตอนที่ถูก ฮานส์ ชาร์ฟ สอบสวนว่า
“ข้อมูลที่เขาได้จากผมไปน่ะเหรอ ผมไม่ระแคะระคายเลยว่าเขาได้ข้อมูลบางอย่างจากผมไปแล้ว ผมไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว”
เชลยอีกนายหนึ่งคือ พันโท ฟรานซิส “แก็บบี้” แกเบรสกี้ หนึ่งในนักบินรบอเมริกันที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แกเบรสกี้ผู้นี้แหละที่รักษาสัมพันธภาพที่ดีกับฮานส์ต่อเนื่องมากว่า 50 ปี เขาเป็นเพียงเชลยไม่กี่คนที่ไม่หลุดเผยข้อมูลใด ๆ ให้กับฮานส์เลย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ในปี 1948 เขาได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ทำหน้าที่สอบสวน มาร์ติน มอนตี้ (Martin Monti) นักบินสหรัฐฯ ผู้แปรพักตร์ไปเข้ากับกองทัพเยอรมัน ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ฮานส์ก็ตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกาต่อไป
เทคนิคอันแยบยลของฮานส์ กลายเป็นหลักสูตรที่ใช้ในวงการทหารและในหลายหน่วยงานของรัฐบาล ปี 1978 มีการตีพิมพ์หนังสือ The Interrogator: The Story of Hanns Scharff, Luftwaffe’s Master Interrogator ที่เขียนถ่ายทอดเทคนิคต่าง ๆ ของเขาในการสอบสวน และเล่าเรื่องราวส่วนตัวของเขาหลังย้ายมาอยู่ในสหรัฐฯ แล้ว
หลังพำนักอยู่ในสหรัฐฯ ฮานส์ไม่ได้ทำหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวกับวงการทหารอีกต่อไปแล้ว เขากลับไปรื้อฟื้นความเชี่ยวชาญทางด้านศิลปะที่เขาร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็ก กลับมาใช้ประกอบอาชีพอีกครั้ง ฮานส์กลายเป็นศิลปินที่เชี่ยวชาญในการสร้างงานศิลปะจากโมเสค เขาก่อตั้งบริษัทที่รับเหมาโครงการที่เกี่ยวข้องกับการใช้โมเสค ผลงานที่โดดเด่นของฮานส์ก็คือ ปราสาทซินเดอเรลล่า ที่อยู่ในสวนสนุก ดิสนีย์เวิลด์ ในสหรัฐฯ ถ้าใครเคยเข้าไปในปราสาทหลังนี้แล้วก็จะเห็นผนังสูง 5 เมตร ประดับประดาด้วยโมเสคประกอบเป็นภาพเล่าเรื่องราวของซินเดอเรลล่า นี่แหละฝีมือของ ฮานส์ ชาร์ฟ อดีตปรมาจารย์นักสอบปากคำแห่งกองทัพเยอรมัน
ฮานส์ ชาร์ฟ จากโลกไปในปี 1992 แต่บริษัทโมเสคของเขายังคงดำเนินการต่อไป ในชื่อบริษัท Scharff and Scharff รับเหมางานติดตั้งโมเสคทั่วโลก เข้าไปดูผลงานเขาบริษัทได้ที่น
ในปี 2009 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้จัดตั้งหน่วยงานสอบปากคำชื่อ The High-Value Detainee Interrogation Group ซึ่งยึดถือรูปแบบการสอบปากคำของ ฮานส์ ชาร์ฟ เป็นหลักดำเนินการ แนวทางของฮานส์จึงเป็นข้อยืนยันวลีเก่าแก่ที่ว่า “you can catch more flies with honey than you can with vinegar” ถ้าคุณเลือกใช้น้ำผึ้ง คุณจะได้ข้อมูลมากกว่าจากการใช้น้ำส้มสายชู
The post รู้จักกับ Hanns Scharff เจ้าแห่งการสอบปากคำแห่งกองทัพนาซี ทำให้เชลยเผยความลับโดยไม่รู้ตัว appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/