เริ่มคิกออฟไปแล้วเมื่อ 24 กันยายนที่ผ่านมา สำหรับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” และ “ทัวร์เที่ยวไทย” 2 โครงการใหญ่ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศในช่วงโค้งท้ายของปีนี้
เปิดจองสิทธิ 8 ต.ค.นี้
โดยโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” นั้น มีจำนวน 2 ล้านสิทธิ์รัฐสนับสนุนค่าโรงแรม 40% (ไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน) คูปองอาหาร 600 บาทต่อคืน และสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 40% (ไม่เกิน 2,000 บาท หรือ 3,000 บาท โดยดูตามเงื่อนไขของแต่ละจังหวัด)
ทั้งนี้ จะเปิดให้คนทั่วไปจองโรงแรม ที่พัก ในวันที่ 8 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป เริ่มเดินทางใช้สิทธิวันแรก คือ 15 ตุลาคม 2564 โดย 23 มกราคม 2565 จะเป็นวันจองโรงแรม ที่พักวันสุดท้าย และสิ้นสุดการเดินทางของโครงการ 31 มกราคม 2565 และ 1 กุมภาพันธ์ 2565 จะเป็นวันสุดท้ายของการลงทะเบียนรับสิทธิคืนค่าตั๋วเครื่องบิน ขณะที่ผู้ประกอบการสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 (เวลา 21.00 น.)
ส่วนโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” นั้น เป็นโครงการใหม่ รัฐบาลให้เงินสนับสนุนซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยว 40% ของค่าบริการ สูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท (1 คนใช้ได้ 1 สิทธิ์ และใช้ได้เพียงครั้งเดียว) ผ่านระบบเป๋าตัง จำนวน 1 ล้านสิทธิ์
โดยประชาชนสามารถเริ่มจองโรงแรม ที่พัก ได้ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2564-23 มกราคม 2565 และเดินทางได้จริงตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564-21 มกราคม 2565
ขณะที่ผู้ประกอบการนำเที่ยวนั้น ททท.ได้เปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมตั้งแต่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ผ่านเว็บไซต์ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย และจะต้องจัดนำเที่ยวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2565 และทำการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2565
อย่างไรก็ตาม มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 21 กันยายน 2564 ระบุไว้ว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีความรุนแรงในช่วงระหว่างดำเนินโครงการ ททท.ก็สามารถขอยุติดำเนินโครงการทั้ง 2 โครงการได้
เรียกความเชื่อมั่นต่างชาติ
“กฤษณะ แก้วธำรง” รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บอกว่า หลังจากโครงการดังกล่าวเปิดระบบให้ผู้ประกอบการนำเที่ยวเข้ามาลงทะเบียนในระบบ พบว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก จึงเชื่อว่าจะเป็นโครงการที่ช่วยกระตุ้นให้คนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้นหลังจากที่ชะลอการเดินทางท่องเที่ยวมาราว 6-7 เดือน
โดยในส่วนของ ททท.เชื่อว่าเมื่อเกิดกระแสการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยจะทำให้ภาพดังกล่าวสะท้อนไปต่างประเทศว่าประเทศไทยพร้อมสำหรับการเปิดรับการเดินทางท่องเที่ยวแล้ว และจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นและทยอยกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปลายปีนี้ซึ่งเป็นไฮซีซั่นของทั้งตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลและระยะใกล้
“ตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดมีแนวโน้มที่ดีขึ้น รัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจแล้ว ก็น่าจะทำให้บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวเริ่มกลับมาได้บ้างจึงมั่นใจว่าทั้ง 2 โครงการดังกล่าวนี้ จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป” นายกฤษณะกล่าว
แค่ 2 โครงการเอาไม่อยู่
“ธนพล ชีวรัตนพร” นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) ดูแลตลาดการท่องเที่ยวภายในประเทศ (domestic) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การประกาศเดินหน้าโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศผ่าน 2 โครงการดังกล่าวนี้ น่าจะทำให้ธุรกิจในภาคท่องเที่ยวทุกบริการตื่นตัวและเริ่มขยับกลับมาทำธุรกิจกันเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองว่าทั้ง 2 โครงการยังมีข้อจำกัดของเงื่อนไขบางส่วนที่อาจทำให้เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่อยากเดินทางท่องเที่ยวเป็นกรุ๊ป หรือเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยว อาทิ การกำหนดให้ผู้ประกอบการทำการสแกนใบหน้าผู้ร่วมเดินทางตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ที่เดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ที่ไม่สามารถเดินทางไป-กลับในเที่ยวบินเดียวกันได้
“ยกตัวอย่างเช่น มีกรุ๊ปทัวร์ไปเที่ยวภูเก็ตจำนวน 20 คน บางคนเดินทางที่สนามบินดอนเมือง บางคนไปเที่ยวบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ไปถึงภูเก็ตในเวลาใกล้เคียงกัน เพื่อไปเที่ยวพร้อมกัน ตามเงื่อนไขของรัฐที่ระบุว่า ต้องสแกนหน้าตั้งแต่ต้นทางทำให้ต้นทุนค่ามัคคุเทศน์ของบริษัทนำเที่ยวเพิ่มขึ้น เป็นต้น”
ชงโมเดล “ทัวร์ 2 ภาค” หนุน
“ธนพล” บอกด้วยว่า ส่วนตัวหากประเมินจากโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ใน 2 เฟสที่ผ่านมา เชื่อว่าโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของ 2 โครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนทำให้บรรยากาศของการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศพลิกฟื้นกลับมาอีกครั้งได้แน่นอน
แต่ด้วยความที่กระแสการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยหยุดชะงักไปนาน หรือประมาณเกือบ 2 ปีแล้ว จึงมองว่า 2 โครงการใหญ่ดังกล่าวนี้ ไม่น่าจะเอาอยู่ ดังนั้นรัฐบาลควรออกมาตรการหรือโครงการใหม่ ๆ มากช่วยกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
อาทิ โครงการ “ทัวร์ 2 ภาค” สนับสนุนให้คนไทยเกิดการเดินทางท่องเที่ยวมากกว่า 1 จุดหมายปลายทางหรือมากกว่า “ทัวร์ข้ามภาค” แค่การกระตุ้นให้คนในภาคเหนือไปเที่ยวภาคใต้ หรือสนับสนุนให้คนในภาคใต้ไปเที่ยวภาคเหนือ แต่เป็นการวางเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมต่อ 2 ภูมิภาค ลักษณะเส้นทางเป็น 3 เหลี่ยม เช่น ออกเดินทางจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ ต่อด้วยบุรีรัมย์ แล้วกลับกรุงเทพฯ
หรือออกเดินทางจากกรุงเทพฯไปภูเก็ต ต่อด้วยขอนแก่น แล้วกลับกรุงเทพฯ หรือออกเดินทางจากภูเก็ตไปอดุรธานี ต่อด้วยนครศรีธรรมราช แล้วกลับเชียงใหม่ เป็นต้น
“เราอยากนำเสนอโมเดลดังกล่าวนี้ให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และ ททท.พิจารณา สนับสนุนด้านงบประมาณ และดำเนินการควบคู่กับ 2 โครงการใหญ่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดกระแสการเดินทางท่องเที่ยวที่หลากหลายขึ้น”
“แอร์ไลน์” ขยับอัดโปรฯรับ
ขณะเดียวกันในส่วนของผู้ประกอบการสายการบินนั้นได้เริ่มเตรียมแผนสำหรับรองรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศแล้วเช่นกัน โดยสายการบิน “ไทยเวียตเจ็ท” ประกาศเปิดตัวโปรโมชั่น “Fly Deluxe with Confidence” เสนอบัตรโดยสารแบบดีลักซ์ ราคาเริ่มต้น 499 บาท สำหรับทุกเส้นทางบินภายในประเทศ
พร้อมรวมน้ำหนักกระเป๋าสัมภาระเช็กอินฟรี 20 กิโลกรัม และสิทธิ์ในการเลือกที่นั่งฟรี ช่องทางพิเศษสำหรับเช็กอิน และสิทธิ์ในการเปลี่ยนเที่ยวบินได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม โดยเปิดจองได้ตั้งแต่ 27 กันยายน-5 ตุลาคม 2564 สำหรับการเดินทางตั้งแต่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2564 (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ที่ www.vietjetair.com
ด้าน “ไทยแอร์เอเชีย” เปิดราคาขายทุกเส้นทางบินเริ่มต้นที่ 690 บาท (สำหรับสมาชิก BIG) และเริ่มต้น 733 บาท สำหรับบุคคลทั่วไป โดยเปิดให้จองตั้งแต่ 27 กันยายน 2564-3 ตุลาคม 2564 สำหรับการเดินทางตั้งแต่ 27 กันยายน 2564-26 มีนาคม 2565
เรียกว่า ทุกส่วนพร้อมขับเคลื่อนกันเต็มที่แล้ว ดังนั้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศที่ปีนี้จะบรรลุเป้าหมาย 90 ล้านคน-ครั้งได้หรือไม่ ตัวแปรสำคัญในเวลานี้จึงน่าจะอยู่ที่การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดภายในประเทศให้เป็นไปในทิศทางทีดีขึ้น
อ่านข่าวต้นฉบับ: ชงโมเดล “ทัวร์ 2 ภาค” หนุน 2 โครงการดัน “ไทยเที่ยวไทย”
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ท่องเที่ยวไทย #ข่าวท่องเที่ยว