ไม่นานที่ผ่านมา สำนักพิมพ์มติชนจัดกิจกรรม “Exclusive Zoom” กับ “กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร” ผู้เขียนหนังสือ “ก้าวใหญ่ ๆ ใช้ใจเริ่ม” (ธุรกิจพอดีคำ ลำดับที่ 5) ซึ่งเป็นครั้งแรกในวงการหนังสือที่ใช้การ talk แบบ exclusive ผ่านโปรแกรม Zoom ถือเป็นการเปิดมิติใหม่
ผลเช่นนี้ จึงทำให้ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว พร้อมผู้อ่าน และผู้สนใจอีกกว่า 100 ชีวิต โดยผ่านโปรแกรมการประชุมสนทนาออนไลน์ดังกล่าว ซึ่งเป็นการพูดคุยแบบสบาย ๆ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมวงสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อสงสัย ซึ่งมีผู้ดำเนินรายการคอยตั้งคำถามอยู่เป็นระยะ ๆ
ทำไมหนังสือต้องเป็นชื่อ “ก้าวใหญ่ ๆ ใช้ใจเริ่ม” ด้วย ?
คำถามแรก ๆ จึงถูกตั้งปุจฉาขึ้นจากผู้ดำเนินรายการ ก่อนที่จะมีคำถามอื่น ๆ ทยอยตามมา
“กวีวุฒิ” เริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า อันที่จริงเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมเนื้อหาในคอลัมน์ธุรกิจพอดีคำ ซึ่งหลายชิ้นสะท้อนการทำงานของตน โดยตนเองนั้นไม่ได้เป็นนักเขียนอาชีพ เพราะมีอาชีพหลักเป็นพนักงานประจำในธุรกิจสถาบันการเงิน โดยรับผิดชอบการเปลี่ยนแปลงองค์กรจึงได้เก็บประสบการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นมาสะท้อนและสอดแทรกความคิดเห็น ซึ่งหวังว่าจะสอดคล้องโดนใจกับคนที่กำลังอยู่ในองค์กรปัจจุบัน
“สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ในด้านการเปลี่ยนแปลงองค์กรปัจจุบัน คือ ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง กับการลงมือทำ ผมว่ามันเป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง”
ถ้าพูดถึงการเปลี่ยนแปลงองค์กรในยุคนี้ต้องเริ่มจากจุดไหน ?
“ผมมองว่าผู้ที่ดำเนินการในการเปลี่ยนแปลงองค์กรยุคนี้ต้องใจแข็งนั่งประชุมกันอาจจะมีบ้างที่มีประเด็นที่คนไม่เห็นด้วย และอาจดูเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ ก็อาจจะตกเป็นเป้าหมายได้ และถูกตั้งคำถามมากมาย ซึ่งอาจจะมีคนไม่เห็นด้วย”
ถามว่าแปลกไหม ?
“ก็คงไม่แปลก เพราะถ้าเสนออะไรไปแล้ว ทุกคนเห็นด้วย เข้าใจตรงกันทั้งหมด นั่นหมายความว่าเรากำลังทำสิ่งเดิม ๆ อยู่”
“ผมมองว่าอาจจะต้องฝืนสักหน่อยกับสิ่งที่เป็นประเพณีปฏิบัติกันมาโดยตลอด เพราะการเปลี่ยนแปลงองค์กรยุคใหม่ต้องกล้า พูดง่าย ๆ ว่ากล้าที่จะทำอะไรสักอย่างที่ไม่สำเร็จที่สำคัญ ต้องกล้าที่จะทำอะไรที่โง่เขลาบ้าง และต้องกล้าที่จะตั้งคำถามด้วย”
ผลเช่นนี้ จึงทำให้ “กวีวุฒิ” นำหลักคิด “Design Thinking” มาประยุกต์ใช้ ?
“ผมคิดว่าหลักการคิดนี้คือการรับฟีดแบ็ก (feedback) จากทุก ๆ ด้านทั้งในองค์กรและภายนอก ในฐานะที่ผมเองอยู่ในฐานะหัวหน้างานและผู้บริหาร สิ่งที่ต้องใช้อย่างหนึ่งมาก ๆ คือการสื่อสาร ซึ่งหลายครั้งที่มีปัญหาอาจจะเกิดจากการสื่อสารระหว่างทีมงานก็เป็นได้ ดังนั้น การบริหารงานอาจจะต้องพลิกพีระมิดเป็นหัวกลับ แทนที่หัวหน้างานหรือผู้บริหารจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจเพียงอย่างเดียว อาจจะต้องเปลี่ยนเป็นรับฟังและซัพพอร์ตทีมงานแทน”
“แน่นอนว่าวัฒนธรรมองค์กรในประเทศไทย จะมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความเป็นครอบครัว”
ถามว่าวัฒนธรรมแบบนี้ผิดไหม ?
“ก็ไม่ผิดนะ ซึ่งก็มีหลายความเห็นตั้งข้อสังเกตว่าเป็นอุปสรรคในการพัฒนาองค์กรหรือไม่”
“ดังนั้น เมื่อย้อนไปดูคำตอบของคำถามนี้ อาจเห็นได้ว่ามีอยู่ในหนังสือหลาย ๆ เล่มของผม เพียงแต่ผมแค่อยากจะบอกผู้อ่านทุกคนว่าอย่าเชื่อทุกอย่างที่หนังสือเขียน เพราะมันเป็นคนละบริบทกัน แม้แต่หนังสือ ก้าวใหญ่ ๆ ใช้ใจเริ่ม ก็เช่นกัน อย่าเชื่อทั้งหมด แต่ให้ลองนำไปประกอบการตัดสินใจดูว่าสอดคล้องกับบริบทที่ตัวเองเจออยู่หรือไม่ เพื่อมาปรับใช้ดู”
“ผมขอกลับมาที่วัฒนธรรมองค์กรในประเทศไทยแบบพิเศษที่ว่าประเด็นหนึ่ง คือ ความเป็นครอบครัว เป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้อง มันตัดกันไม่ขาด (อันนั้นคือสิ่งที่ได้ยึดถือกันมาโดยตลอด)”
แต่ในมุมมองของ “กวีวุฒิ” เชื่อว่า…องค์กรยุคใหม่ต้องเป็นทีมกีฬา
“ถามว่าเป็นอย่างไร ผมขอยกตัวอย่างเช่น ทีมฟุตบอลก็ได้ ทีมฟุตบอลมี 11 คน ยังไม่นับตัวสำรอง ซึ่งคนในทีมอาจจะมีคนอ่อนซ้อม หรือขี้เกียจที่จะวิ่งรับบอล แต่โค้ชก็จะเลือกลงเล่นตลอด สุดท้ายทีมแพ้ ในทางกลับกันถ้าทุกคนในทีมรักกัน ซัพพอร์ตกันเหมือนครอบครัว แต่ยึดเป้าหมายของทีมเป็นหลัก ตามตัวอย่างที่ยกขึ้นมา คือ ทีมฟุตบอลที่ต้องการแชมป์เป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งใหญ่กว่าตัวบุคคล เช่นเดียวกันองค์กรทุกองค์กรที่มีเป้าหมายทางธุรกิจ พนักงานในองค์กรก็ต้องยึดเป้าหมายขององค์กรไว้เป็นหลักก่อนตัวเอง เป็นต้น”
คำถามจึงเกิดขึ้นตามมาว่า…แล้ว “กวีวุฒิ” มีวิธีจัดการกับความล้มเหลวอย่างไร ?
“สำหรับแนวคิดขององค์กร หรือพนักงานที่จะเปลี่ยนแปลง คือ การยอมรับความล้มเหลว ซึ่งล้มเหลวได้ แต่อย่าตาย เพราะทุกสิ่งล้วนมีความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะสตาร์ตอัพและสตาร์ตอัพด้านนวัตกรรมมีความเป็นไปได้สูงที่จะล้มเหลว ซึ่งถ้าคิดว่าเรากำลังคิดค้นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ต้องเผื่อใจไว้สำหรับความล้มเหลวบ้าง”
“เพราะส่วนตัวผมใช้วิธีการบริหารจัดการพอร์ต (portfolio management) อาจจะกำหนดด้วยงบประมาณ หรืออาจจะกำหนดด้วยเวลา หรืออาจจะทดลองหลายอย่างเพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะความล้มเหลวเกิดขึ้นในทุกคน ทุกที่ แต่ไม่ค่อยมีใครเห็นหรือไม่ค่อยมีใครเล่า”
“ซึ่งการทำสิ่งใหม่ใด ๆ นั้น ไม่เคยประสบความสำเร็จจากการทำเพียงครั้งเดียว แต่จะสำเร็จได้คือการทดลอง และทดลองซ้ำ ๆ จนสำเร็จ ลองคิดตามดูว่าของทุกอย่างนั้นยังมีตัว prototype เลย การสร้างสิ่งใหม่หรือนวัตกรรมก็เช่นกัน แต่สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เงินน้อย, เวลาน้อย เพราะเราจะไม่หลงรักหรือเสียดายสิ่งนั้น ๆ เร็วเกินไป เวลาล้มเหลวจะได้เสียใจไม่นาน”
แล้วจำเป็นไหมที่จะต้องศึกษาความล้มเหลวจากตัวอย่างความสำเร็จ ?
“ผมมองว่าจริง ๆ แล้วความสำเร็จขององค์กรระดับโลกที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ เช่น Amazon, Google หรือแม้กระทั่ง Netflix ก็ตาม ในตัวอย่างนี้บางรายเกือบล้มเหลวก็มีจนเกือบจะขายกิจการก็มี”
“ตัวอย่างกรณีศึกษาของตนที่น่าสนใจในการเปลี่ยนแปลงองค์กร คือ Netflix เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่ธุรกิจขายแผ่นซีดี-ดีวีดี จนวันหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ธุรกิจสตรีมมิ่ง และในตอนนี้กำลังมุ่งเข้าสู่การทำธุรกิจภาพยนตร์-ซีรีส์เอง”
“ผมจึงเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ดี”
ศบค. พบติดเชื้อโควิดวันนี้(10 ก.ค.) พุ่งกระฉูด 9,326 ราย ตายเพิ่ม 91 คน
ศบค. สั่งตั้งด่านตรวจ “เช้านี้” คุมเข้มเดินทางข้ามพื้นที่ ฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำ-ทั้งปรับ
ศบค. ประกาศล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว คุมเข้ม 10 จังหวัด จำกัดการเดินทาง 14 วัน
อ่านข่าวต้นฉบับ: ก้าวใหญ่ ๆ ใช้ใจเริ่ม ถอดมุมคิดสร้างองค์กรทีมกีฬา
Link : Read More
Tags : #ข่าวสังคม #ความรับผิดชอบต่อสังคม