สมถวิล ลีลา : เรื่อง
ต้นสน : ภาพ
ธรรมชาติมนุษย์ล้วนกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่มีอะไรยากเกินความพยายาม ขอมีความกล้า กล้าที่จะเปลี่ยน และเรียนรู้ แล้วเมื่อนั้นเราจะพบกับทักษะแห่งการเอาตัวรอดได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต
เพราะชีวิตเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
นี่คือบทสรุปจากประสบการณ์ของ “สันติธาร เสถียรไทย” ประธานทีมเศรษฐกิจ (Group Chief Economist) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท Sea Group บริษัทแพลตฟอร์มดิจิทัล เจ้าของ Garena, Shopee และ SeaMoney ผู้ก้าวข้ามสายงานแบบข้ามห้วยมาแล้ว จาก “นักเศรษฐศาสตร์การเงิน”
ปัจจุบันเป็นกรรมการอิสระของ บมจ.เงินติดล้อ กรรมการที่ปรึกษา “เทใจดอทคอม” แพลตฟอร์มระดมทุนเพื่อสังคมแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของไทย แต่งตั้งโดยรัฐบาลสิงคโปร์ให้เป็นคณะกรรมการ Digital Readiness Council ดูแลเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลของประเทศ
มีประสบการณ์ทำงานภาครัฐ และเอกชน เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคและการเงิน เคยเป็นผู้บริหารสูงสุดของทีมเศรษฐกิจเอเชียที่ธนาคาร Credit Suisse (เครดิตสวิส) เป็นหนึ่งในคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี เป็นอาจารย์พิเศษคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำงานที่กระทรวงการคลังและ Government of Singapore Investment Corporation เป็นผู้เขียนหนังสือ Futuration เปลี่ยนปัจจุบันทันอนาคต หนังสือขายดีที่ได้รับการตีพิมพ์ 3 ครั้งจากสำนักพิมพ์มติชน
ดร.สันติธารเป็น “คนแรก” จากอาเซียนที่ได้รับเชิญจาก World Economic Forum ให้เป็นสมาชิกกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำที่มาช่วย “ออกแบบอนาคต” เศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19 และเป็น “นักเศรษฐศาสตร์ผู้เดียวในเอเชีย” ที่ชนะรางวัลพยากรณ์เศรษฐกิจยอดเยี่ยมระดับโลกของ Consensus Economics 3 ปีซ้อน และเป็น “Asia 21 Young Leaders”
ที่น่าสนใจ เขาเป็นคนไทยคนเดียวที่จบปริญญาเอกด้านนโยบายสาธารณะจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์ด้านการพัฒนาระหว่างประเทศจากฮาร์วาร์ด ปริญญาตรี-โทด้านเศรษฐศาสตร์จาก London School of Economics and Political Sciences (LSE) สถานศึกษาที่เขาใฝ่ฝันอยากเรียน
ซึ่งไม่ธรรมดาเลย สำหรับคนวัย 40 ปี ที่มีรอยยิ้มละมุน สายตาแลอ่อนโยน กับภารกิจเครียด ๆ รอบตัว
“ดร.ต้นสน” เป็นลูกชายของ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ดร.ท่านผู้หญิงสุธาวัลย์ (ลดาวัลย์ ณ อยุธยา) เขาเกิดที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา พอ 3 ขวบกลับมาเรียนในไทย เป็นศิษย์เก่าสาธิตจุฬาฯ โรงเรียนอินเตอร์บางกอกพัฒนา
สมัยเด็กเรียนไม่เก่ง ภาษาไม่ดี รู้สึกตัวเองกดดัน แต่โชคดีที่ครอบครัว ซึ่งมีแต่คนเก่ง ๆ กลับให้อิสระทางความคิด ไม่เคยกดดัน ลูกต้องเป็นโน่นเป็นนี่ ทำให้เขาค้นพบตัวตนได้เร็ว
ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาจึงวนเวียนอยู่ในต่างประเทศ ปัจจุบัน ดร.ต้นสนและครอบครัว พักอาศัยอยู่ที่สิงคโปร์ ด้วยภาระหน้าที่การงานและไวรัสโควิด-19 ทำให้ชีวิตของเขาเหมือนคนติดเกาะ
วันนี้ดูเหมือนคนทั่วโลกหยุดอยู่กับที่ แต่ในทางกลับกัน “โลกกลับหมุนเร็วขึ้น” เพราะโดนล็อกดาวน์ คลื่นแห่งอนาคต ทั้งมิติด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม กำลังเร่งให้ทุกอย่างมาถึงก่อนกำหนด
ดร.ต้นสน มองว่า ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงถาวร ในความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นทั้ง “โอกาส” และ “ความท้าทาย”
“แน่นอนช่วงโควิด เรามีการปรับตัวหลาย ๆ อย่าง เครียดพอสมควร ซึ่งคงเหมือนกับหลายคนต้องเจอเหมือนกัน แต่วันนี้ผมอยากเล่าส่วนที่ไม่ค่อยเครียด และไม่เกี่ยวกับงานบ้างละกัน เพราะชีวิตผมพูดเรื่องซีเรียส ๆ มาเยอะแล้ว”
ต้องบอกว่า ในช่วงล็อกดาวน์ของสิงคโปร์นั้น เข้มข้นมาก ช่วงที่พีกนั้น แทบจะไม่ให้ออกจากบ้านเลย สำหรับคนอยู่คอนโดฯอย่างผม คือไม่ให้ออกจากยูนิตเลย ถ้าไม่จำเป็น (บริเวณของคอนโดฯ ถือเป็นที่สาธารณะ)
หรือถ้าจะออกไปก็ให้ไปคนเดียว ห้ามไปกับภรรยาและลูก ๆ ทั้งยังจำกัดคนมาเยี่ยมที่บ้าน ร้านอาหารก็ปิดหมดทุกที่ ชีวิตการกินมีแต่ delivery เท่านั้น ยิมในตึกก็ปิด แต่เขาเปิดให้ไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะได้ แน่นอนออกนอกบ้านทุกคนต้องใส่แมสก์หมด ยกเว้นเวลาออกกำลังกาย
สำหรับผมที่เป็นคนหลงใหลการสะพายกล้องไปเที่ยวที่ต่าง ๆ แล้วถ่ายรูป แน่นอนว่าไลฟ์สไตล์ผมตรงนี้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แม้แต่ช่วงที่เคสติดเชื้อน้อย ๆ แล้วเดินทางในประเทศได้ ก็ต้องบอกว่า ที่นี่เป็นเกาะเล็ก ๆ ไม่มีที่ให้ไปเท่าไร เห็นเพื่อน ๆ ในไทยเที่ยวกันในประเทศแล้ว ก็อยากกลับมาเที่ยวเมืองไทย ตอนนี้คิดถึงประเทศไทยมาก
ผมจึงพยายามต้องหากิจกรรมใหม่ ๆ คลายเครียด
เท่าที่คุยกับเพื่อน ๆ ช่วงโควิดจะมีอยู่ 2 สาย คือสายทำอาหารกิน กับ สายสุขภาพ
ของผมคงเป็นแบบสองมากกว่า โดยจะออกกำลังเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ยังจำได้เลยว่า ช่วงแรกของการล็อกดาวน์ อุปกรณ์กีฬาขาดตลาดมาก (ต้องคอยหาในช้อปปี้!) ด้วยความที่ทุกคนซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านกันหมด ทำให้สินค้าขาดตลาด
และกิจกรรมนึงที่ผมเพิ่งมาเริ่ม คือการออกกำลังด้วย Virtual Reality (VR) โดยใช้เครื่องของ VR ของ Occulus (เป็นหมวกสวม) ที่คุณเอย-ชนาทิพ ภรรยาเคยให้เป็นของขวัญวันเกิดนานแล้ว ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ได้ผลดีมาก ที่ผมเล่นบ่อยคือเกมชกมวย ที่เหมือนชกเงา ที่มีคู่ต่อสู้ทิพย์ ใน VR เพียงไม่กี่นาทีก็น็อก (ผมเองนะที่น็อก!) ด้วยความเหนื่อย
แต่การเปลี่ยนแปลงด้านไลฟ์สไตล์ของผมที่สำคัญที่สุด คงจะหนีไม่พ้นเรื่องสัตว์เลี้ยง ผมเริ่มเลี้ยงสุนัขพันธุ์ Standard Poodle (หรือบางคนเรียก Giant Poodle เพราะตัวใหญ่มาก) ครอบครัวเราตั้งชื่อเค้าว่า “สินา” ให้เหมือนเป็นน้อง ชื่อพ้องกับลูกชายสองคนที่มีชื่อจริงว่า สิฑา (ต้นไม้) และ สิฬา (ต้นหม่อน)
ซึ่งนี่คือเรื่องใหญ่สำหรับผม เพราะแต่เดิมผมไม่ใช่คนชอบสุนัข และจริง ๆ ไม่ชอบเลี้ยงสัตว์อะไรเลย แต่ในทางกลับกัน ภรรยาผมรักสัตว์มาก ๆ เลยต้องเจรจากันอยู่นานมาก กว่าผมจะยอม
แต่พอเค้ามาอยู่กับเราจริง ๆ ปรากฏว่าดีกว่าที่คิด เพราะเค้าน่ารัก ขี้อ้อนมาก และเด็ก ๆ ก็รักเค้ามาก เป็นเหมือนเพื่อนเล่นกันจริง ๆ ผมรู้สึกรักและรู้สึกผูกพันขึ้นเรื่อย ๆ
พอมีเจ้า “สินา” เราก็จะไปเดินเล่นพักผ่อนกันในสวนบ่อยขึ้น ตอนที่รัฐบาลสิงคโปร์เริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์ โชคดีที่คอนโดฯผมอยู่ติดกับทะเลและสวนสาธารณะ เลยสามารถไปเดินกับครอบครัวได้บ่อย ๆ โดยไม่ต้องใช้รถ
ที่ไม่มีใครคาดถึงคือ “สินา” กลายเป็นสุนัขที่สวยมาก ขนฟู ตัวใหญ่เหมือนหมี จนไปไหนทุกคนหันขวับมาดู มารุมขอถ่ายรูป มีคนตะโกนเรียกจากชั้นบน บอกให้เราหยุดเดินก่อน จะขอถ่ายรูปก็มี เลยเหมือนอยู่กับหมาดารา (ฮา) พวกร้านขายของสุนัขก็ชอบเอานางไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย
ดร.ต้นสน เล่าถึงความสุขในชีวิตที่เริ่มผ่อนคลายจากสมาชิกใหม่ นอกเหนือจากการเล่นดนตรีดีดกีตาร์ และร้องเพลง
อีกมุมหนึ่ง ในฐานะที่ผมทำงานอยู่สิงคโปร์มานานหลายปี ซึ่งเป็นประเทศที่มีพื้นที่ไม่มาก แต่ต้องให้เครดิตรัฐบาลที่นี่ที่ให้น้ำหนักกับนโยบายเรื่อง “พื้นที่สีเขียว” หรือสวนสาธารณะ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
เทียบกับเมืองใหญ่อื่น ๆ อย่างลอนดอน นิวยอร์ก ที่ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งต่างก็มีพื้นที่สีเขียวที่ดี โดยส่วนตัวผมว่า ประเทศสิงคโปร์มีพื้นที่สีเขียวดีที่สุดแห่งหนึ่ง
แม้จะเป็นสังคมเมืองแต่สวนสาธารณะที่นี่มีความหลากหลาย มีทั้งสวนสาธารณะริมทะเล ป่าชายเลนที่อยู่ติด ๆ ที่ผมอยู่ มีทั้งสวนที่เป็นเขาให้ไปเดิน มีทั้งสวนที่มีสนามเด็กเล่นใหญ่ ๆ มีทั้งสวนที่มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์กระจัดกระจายอยู่ข้างใน สำหรับคนที่สนใจให้รู้ว่า มีที่มายังไง (ทั้ง ๆ ที่ประวัติศาสตร์ประเทศเขาก็มีนิดเดียว) แม้ทุกวันนี้ผมกับครอบครัวก็ยังไปเจอที่เดินใหม่ ๆ ตลอด
ที่สำคัญคือ สวนสาธารณะที่นี่ปลอดภัยมาก เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่อาชญากรรมต่ำมาก ในสวนใกล้บ้านผม แม้ไปวิ่ง 4-5 ทุ่ม ก็ยังเห็นผู้หญิงวิ่งคนเดียวได้อย่างสบาย ถ้าเป็นเมืองใหญ่ที่อื่นแม้แต่ในอังกฤษ อเมริกา คงต้องระวังความปลอดภัยพอสมควร
ที่นี่เป็นเกาะเล็ก ๆ การเดินทางไปพื้นที่สีเขียวแต่ละแห่งจึงใช้เวลาไม่นาน และทางสิงคโปร์ยังมีการจัดเชื่อมพื้นที่สีเขียวแต่ละแห่งกันได้อย่างดีด้วย เช่น มีเส้นทางการเดิน (Walking route) ที่เขาจัดไว้ให้สามารถเดินจากด้านหนึ่งของเกาะไปอีกด้าน โดยผ่านสวนสาธารณะหลายแห่ง บนถนนจะมีป้ายคอยบอกทางให้คนเดิน และคนขี่จักรยาน เพื่อให้รู้ว่า เราต้องไปทางไหน
ผมว่ารัฐบาลเขาภูมิใจและให้ความสำคัญกับสวนสาธารณะมาก เพราะมันไม่ใช่แค่ที่ออกกำลังกาย แต่มันฝังรากลึกลงไปในไลฟ์สไตล์ของผู้คนจำนวนมหาศาลและหลากหลายอายุ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลากับครอบครัว หรือการพักผ่อนหย่อนใจลดความเครียดที่มีอยู่สูงมากในช่วงโควิดระบาด
ผมไม่เคยเห็นประเทศเขาปิดสวนสาธารณะ แม้ตอนล็อกดาวน์ที่ร้านต่าง ๆ ปิดหมด คงเป็นเพราะความเสี่ยงการติดเชื้อในที่เปิดโล่งอาจต่ำกว่าในที่ปิดทึบ
ซึ่งผมเห็นด้วยกับนโยบายเหล่านี้ และบอกได้เลยว่า “สำคัญสำหรับครอบครัวเรามาก โดยเฉพาะช่วงที่ติดเกาะนาน ๆ”
ส่วนแรงบันดาลใจกับงานเขียนหนังสือเล่มใหม่ The Great Remake สู่โลกใหม่ ดร.ต้นสน บอกว่า “เป็นเรื่องแปลกครับ ใน 1 ปีกว่า ที่อยู่กับวิกฤตโควิด ผมเดินทางและพบหน้าคนน้อยลงมาก ถือเป็นประวัติการณ์ แต่ในขณะเดียวกันกลายเป็นว่า ผมมีโอกาสคุยกับผู้คนมากมายหลากหลายวงการ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอย่างไม่เคยได้ทำมาก่อน เสมือนพรมแดนบางอย่างมันจางลงไป”
พูดได้ว่า ส่วนหนึ่งของการปิดประเทศทั่วโลก อาจทำให้คนหลายคนที่เคยใกล้ชิด ต้องห่างกันมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้หลายคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ได้มาใกล้กัน
นับเป็นการเดินทางในรูปแบบใหม่ ที่เปิดโอกาสให้ผมได้ “คุย-ฟัง” กับทั้งนักคิดระดับโลก และนักสู้ที่กำลังต่อสู้กับวิกฤตนี้ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งผู้ประกอบการ SMEs ทั้งองค์กรภาคประชาสังคมที่กำลังช่วยเหลือกลุ่มคนเปราะบาง ทั้งคุณหมอผู้เชี่ยวชาญระบาดวิทยา ทั้งคนวงการการศึกษา รวมทั้งนักลงทุนกองทุนระดับโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน และการวางนโยบายช่วยให้คนเข้าถึงดิจิทัลอย่างง่าย ๆ และเร็ว
ตอนนี้งานหลักของผมที่ทำด้านดิจิทัลโดยตรงที่ Sea (บริษัทแม่ การีนา ช้อปปี้ ซีมันนี่) ก็ให้ประสบการณ์ที่ดี เป็นการตัดสินใจไม่ผิด หลังเปลี่ยนสายงาน รวมถึงการเป็นที่ปรึกษากลุ่มลีสซิ่งเงินติดล้อ และเทใจฯ บริจาคออนไลน์ ล้วนทำให้ผมได้เข้าไปมีส่วนร่วมแก้ปัญหาหลาย ๆ อย่างที่คาดไม่ถึง และทำให้เราเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ทำให้ได้ข้อคิด ประสบการณ์ และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผมจึงรวบรวมสิ่งที่ได้เรียนรู้เหล่านี้ กลั่นออกมาเป็นหนังสือเล่มใหม่ อยากชวนทุกคน อ่านอดีต เข้าใจปัจจุบัน และมาร่วมเขียนอนาคตโลกหลังโควิดด้วยกัน
“The Great Remake สู่โลกใหม่” คือหนังสือที่เขียนขึ้นมาเพื่อช่วยเตรียมคน องค์กร และประเทศสู่โลกหลังโควิดที่ผมว่า จะแตกต่างจากเดิมมาก โดยแบ่งเป็น 4 ตอน
Rethink – อ่านอนาคตที่เร่งเข้ามา
Recovery – รับมือวิกฤตแห่งยุค
Reimagine – คิดใหม่ยุทธศาสตร์อนาคต
Remake – สร้างคนเพื่ออนาคต
ผมว่าประโยคสำคัญที่เป็นหัวใจของหนังสือเล่มนี้คือ “ประวัติศาสตร์จะถูกเขียนจากอนาคตที่เราเลือกเดิน”
ฟังดูเร็วมันอาจจะดูย้อนแย้ง แต่สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือ วิกฤตโควิดนี้ เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ๆ สำหรับทุกคนในดีกรีและรูปแบบที่ต่างกัน
แต่สุดท้ายพายุลูกนี้จะผ่านไป และวันหนึ่งเราจะย้อนมองกลับมาว่า ช่วงโควิดที่เขย่าทั้งโลกนั้น เราทำอะไร
อาจจะเป็นเรื่องของการต่อสู้จนรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์
อาจจะเป็นเรื่องการที่เราได้เรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างไม่เคยทำมาก่อน
อาจเป็นเรื่องที่เราได้ช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบากกว่า และได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ที่ไม่คาดคิด
ไม่มีเรื่องไหนถูกผิด แต่หนังสือเล่มนี้อยากชวนคิด เมื่อวันนั้นในอนาคตที่เราจะจรดปากกาเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของเรา “ประวัติศาสตร์” ของเราในช่วงโควิด จะเป็นสตอรี่แบบไหน
คงขึ้นอยู่กับว่า ในช่วงวิกฤตรอบนี้ เราเลือกที่จะทำอะไร และเล่นบทบาทไหน
ภายใต้ “หนังชีวิต” จอใหญ่ที่กำลังถูก Remake
อ่านข่าวต้นฉบับ: The Great Remake “สันติธาร เสถียรไทย” แรงบันดาลใจ “สู่โลกใหม่”
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวสังคม # ไลฟ์สไตล์