ฉีดวัคซีนไฟเซอร์นักเรียนอายุ 12-18 ปี วันแรก หมอโอภาสแนะติดตามผลข้างเคียง โดยเฉพาะภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนใหญ่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ แต่หายใน 1 สัปดาห์ อุบัติการณ์การเกิดทั่วโลกอยู่ที่ 6 รายต่อการฉีด 1 แสนโดส พบมากในเด็กชาย แนะฉีดเข็มเดียวก่อน ส่วนเด็กหญิงฉีดได้ 2 เข็ม ปลอดภัย
วันที่ 4 ตุลาคม 2564 ที่โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในนักเรียนอายุ 12-18 ปี ว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่นำมาฉีดให้กับเด็กอายุระหว่าง 12-18 ปี ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมีการฉีดในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยการฉีดวัคซีนต้องคำนึงถึง 2 อย่าง คือ 1.ประสิทธิภาพของวัคซีน และ 2.ความปลอดภัย
ซึ่งเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา วัคซีนไฟเซอร์มาถึงไทย หลังจากตรวจสอบคุณภาพแล้ว วันที่ 30 กันยายนได้มีการกระจายไปแต่ละอำเภอ โดยกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รวบรวมข้อมูลเด็กนักเรียนที่เข้าเกณฑ์การรับวัคซีนโควิด-19 ประมาณ 5 ล้านคน จากการสำรวจความประสงค์ของผู้ปกครอง พบว่ากว่า 80% มีความประสงค์และอนุญาตให้เด็กฉีดวัคซีนหรือราว 4 ล้านคน จากนั้นทางจังหวัดกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ร่วมกันวางจุดฉีดวัคซีน จนถึงระบบการติดตามหลังการฉีด
โดยส่วนกลางจะส่งวัคซีนไฟเซอร์ไป ซึ่งลอตแรกที่ส่งไปมีจำนวน 2 ล้านโดส ส่วนใหญ่ถึงโรงเรียนแล้ว แต่บางแห่งก็ยังไม่ถึง เพราะนักเรียนมีประมาณ 4 ล้านคน และจะมีเข้ามาเพิ่มอีก 1.5 ล้านโดสในวันที่ 6 ตุลาคม สัปดาห์ถัดไปก็จะมาอีกประมาณ 1.5 ล้านโดส ก็จะเร่งกระจายออกไป ฉะนั้นอีก 2 สัปดาห์ก็จะมีวัคซีนกระจายไปครบตามจำนวนนักเรียนที่ฉีด
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า การติดตามเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะชนิด mRNA ที่คนเป็นห่วงกันมาก คือ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ส่วนใหญ่จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ ทั้งนี้ อุบัติการณ์การเกิด ข้อมูลทั่วโลกอยู่ที่ 6 รายต่อการฉีด 1 แสนโดส พบมากในเด็กชาย ซึ่งอาการส่วนใหญ่จะหายเองได้ ส่วนน้อยอาจต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล
แต่หากดูเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าการฉีดวัคซีนมีประโยชน์มากกว่า จึงเป็นแนวนโยบายว่าเราต้องเร่งฉีดวัคซีนเด็กนักเรียน ควบคู่กับการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ผ่านแอปพลิเคชั่น หมอพร้อม ซึ่งหากพบว่ามีอาการผิดปกติ ก็ให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด
“สำหรับเด็กผู้หญิงข้อมูลส่วนใหญ่เชื่อว่าปลอดภัย คำแนะนำจากหลายแหล่ง ตอนนี้บอกว่าให้ฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม ส่วนเด็กชายให้ฉีดก่อน 1 เข็ม และประเมินข้อมูลอีก 2 สัปดาห์ถัดไป ว่าจะฉีดเข็ม 2 ต่อหรือไม่อย่างไร นอกจากนั้นก็จะรวบรวมจากข้อมูลทั่วโลกมาประเมินอีกครั้งด้วย”
ทั้งนี้ นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า การฉีด 2 เข็มประสิทธิภาพดีกว่า ผลข้างเคียงก็เกิดขึ้นได้มากกว่า เป็นการชั่งระหว่างผลดีและผลเสีย แต่ยืนยันว่าผลดีมากกว่า ส่วนผลเสียและผลข้างเคียงเป็นสิ่งที่เราต้องระมัดระวัง ส่วนกรณีที่เด็กรับวัคซีนโควิดแล้ว แต่ผู้ปกครองจองกับซีนโมเดอร์นาไว้ และอาจจะได้เข้ามาในเดือนพฤศจิกายน ย้ำว่าการให้วัคซีน เป็นไปตามความสมัครใจ ดังนั้น ผู้ปกครองต้องดูข้อมูลต่าง ๆ ให้รอบด้าน คำแนะนำตอนนี้เป็นการฉีดวัคซีนตามกำหนด
ส่วนจะฉีดเข็ม 3 เพื่อกระตุ้น ก็ต้องรอข้อมูลวิชาการ ใช้หลักการแพทย์พิจารณาเป็นหลัก ซึ่งวัคซีนโควิด-19 ยังเป็นเรื่องใหม่ บางข้อมูลที่มียังไม่ชัดเจน ต้องอาศัยหลักวิชาการประกอบกับข้อมูล ส่วนจะต้องเว้นไป 3 เดือนหรือไม่ จะต้องให้คณะผู้เชี่ยวชาญออกคำแนะนำอีกครั้ง แต่ตามหลักการแล้วการฉีดวัคซีน mRNA นั้น การฉีดเข็ม 3 จะเว้นไป 3-6 เดือน แต่โดยหลักการฉีดวัคซีนยิ่งฉีดห่างกันการกระตุ้นจะดีกว่า แต่โอกาสที่จะติดเชื้อก็มี ต้องชั่งใจระหว่าง 2 เรื่องนี้
ทางด้าน นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากข้อมูลผลงานวิจัยในต่างประเทศ ในกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนชนิด mRNA ได้แก่ ไฟเซอร์และโมเดอร์นา พบว่ามีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) ซึ่งพบบ่อยกว่าในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กผู้ชายหลังรับวัคซีนโดสที่ 2 อาจทำให้เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นแรง แต่อาการจะหายไปเองใน 1 สัปดาห์
สำหรับประเทศไทยพบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่คณะผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนเพียง 1 ราย เป็นเด็กชายอายุ 13 ปี มีภาวะโรคอ้วน แต่สามารถรักษาหายเป็นปกติแล้ว ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองมีความกังวลและประสงค์ให้บุตรหลานฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายนั้น หากบริษัทผู้ผลิตยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนปรับการใช้ในเด็กกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว กระทรวงสาธารณสุขจะจัดบริการเพิ่มเติมให้ต่อไป
อ่านข่าวต้นฉบับ: ฉีดไฟเซอร์นักเรียน เด็กชายรับเข็มเดียวก่อน ดูผลกล้ามเนื้อหัวใจ
Link : Read More
Tags : #ข่าวสังคม #ความรับผิดชอบต่อสังคม