พื้นที่คำชะโนดหรือป่าคำชะโนดตั้งอยู่ในเขตอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี
เป็นพื้นที่ที่มีสภาพเป็นน้ำครำ มีต้นชะโนดที่เป็นพืชตระกูลปาล์มขึ้นอยู่หนาแน่นเต็ม
บริเวณเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ จึงเป็นที่มาของชื่อคำชะโนด หมายถึง แหล่งน้ำที่มีต้นชะ
โนด (สุรเชษฐ์ อินธิแสง, 2560: 128 จากข้อมูลประวัติศาสตร์เมืองคำชะโนดเชื่อว่า
เป็นเมืองพญานาค ด้วยลักษณะอุดมคติความเชื้อที่ปลูกฝังดังกล่าวนี้จึงทำให้พญานาค
มีอิทธิพลหรือมีอำนาจ (พลธรร จันทร์คำ, 2551: 3) ต่อวิถีชีวิตของชุมชนละแวกนี้
อย่างมาก
เมื่อความเชื่อและความศรัทธาเกี่ยวกับตำนานวังนาคินและพญานาคราชศรี
สุทโธมีความเกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับคนในชุมชน ส่งผลให้เกิดวาทกรรมเกี่ยวกับพื้นที่
ศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อเกี่ยวกับตำนานพญานาคได้รับการถ่ายทอดและฝังรากลึกลงกับวิถี
ชีวิตของชุมชน สร้างวาทกรรมเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ให้กับพื้นที่คำชะโนดและส่งผล
ให้กับชุมชนในแง่ของประโยชน์ที่เอื้อให้กับบุคคลในชุมชน ทั้งในแง่การอนุรักษ์พื้นที่คำ
ชะโนดไม่ให้ถูกรุกล้ำทำลาย การท่องเที่ยว การผลิตและ การค้าขายสินค้าทาง
วัฒนธรรม อาทิ บายศรีรูปพญานาค เข็มกลัดและธุรกิจภาพถ่ายที่ระลึก (มัชฌิมา
วีรศิลป์, 2561: 3-4)
ตำนานพื้นบ้านที่เล่าถึงเรื่องราวการเกิดขึ้นของแม่น้ำโขงมีพญานาคเป็นตัว
ละครหลักที่สำคัญ ตามตำนานที่เล่าขานกันในเชิงมุขปาฐะ ถ่ายทอดเรื่องราวสืบต่อกัน
มา ดังใจความว่า มีพญานาค 2 ตน คือ สุทโธนาคราชกับสุวรรณนาคราช ทั้งสองเป็น
เพื่อนรักกันและต่างฝ้ายต่างผลัดกันไปหาอาหาร โดยมีข้อตกลงกันว่า หากฝ่ายใด
ออกไปหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งต้องไม่ออกไป อาหารที่หามาได้ให้นำมาแบ่งกันอย่างละ
ครึ่ง เมื่อถึงคราวสุทโธนาคออกไปล่าสัตว์ ได้เนื้อช้างมา จึงนำเนื้อช้างที่ได้แบ่งให้
สุวรรณนาค พร้อมทั้งนำขนของช้างไปยืนยันว่า เป็นเนื้อช้างจริง ต่อมาเมื่อถึงคราวที่
สุวรรณนาคออกไปหาอาหาร ครั้งนี้ได้เม่นกลับมา จึงได้นำเนื้อและขนของเม่นไปมอบ
ให้แก่สุทโธนาคเหมือนเช่นเคย แต่สุทโธนาคกลับไม่พอใจ เพราะขนของเม่นที่มีขนาด
ใหญ่กว่าขนของช้าง ปริมาณเนื้อที่ได้ก็ควรมีมากกว่าเนื้อของช้าง จึงคิดว่า สุวรรณนาค
ไม่มีความซื่อสัตย์ ฝ่ายสุวรรณาคพยายามที่จะอธิบาย แต่ก็ไม่สำเร็จ เป็นขนวนให้เกิด
สงครามระหว่างนาคทั้งสองตน เกิดความเดือดร้อนสะเทือนไปทั้งสามโลก คือ โลก
สวรรค์ โลกมนุษย์และโลกบาดาล พระอินทร์ทรงทราบเรื่องจึงหาวิธีระงับเหตุ โดยให้
พญานาคทั้งสองแข่งขันสร้างแม่น้ำขึ้นคนละสาย หากใครสร้างถึงทะเลก่อนจะเป็นผู้
ชนะ เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนอง
กระแส และด้วยความที่สุทโธนาคมีนิสัยใจร้อน เมื่อพบเจอภูเขากั้นทางแม่น้ำก็จะหลบ
หลีกทำให้แม่น้ำโค้งไปโค้งมาจึงเกิดเป็นแม่น้ำโขง ฝ่ายสุวรรณนาคได้สร้างแม่น้ำขึ้นทาง
ทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคมีความละเอียดและใจเย็น แม่น้ำที่สร้างขึ้นจึงมี
ความตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย เกิดเป็นแม่น้ำน่าน สุทโธนาคเป็นผู้ที่สร้างแม่น้ำได้เสร็จ
ก่อน จึงเป็นผู้ชนะและได้ร้องขอรางวัลเป็นปลาบีก โดยขอให้มีอยู่ในแม่น้ำโขงเพียงแห่ง
เดียวเท่านั้น จากนั้นสุทโธนาคจึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์
ว่า “ตัวข้าเป็นเชื้อพญานาคจะอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้” (ลลนา ศักดิ์ชูวงษ์,
2548: 61) จึงขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ไว้ 3 แห่งด้วยกัน คือ 1)
พระธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ 2) หนองคันแทหรือหนองกระแส และ 3) คำชะโนด
นอกจากนั้น ยังขอทางขึ้นลงที่เป็นของพญานาคเท่านั้นไว้ที่บำคำชะโนด ซึ่งมีต้นชะโนด
ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ตลอดจนขอให้สุทโธนาคพร้อมด้วยบริวารสามารถกลายร่างเป็น
มนุษย์ได้ 15 วันในเวลาข้างขึ้น ส่วนอีก 15 วันในเวลาข้างแรมสุทโธนาคและบริวารจะ
มีร่างเป็นพญานาค เรียกชื่อว่า พญาศรีสุทโธนาคราช และตั้งบ้านเมืองปกครองอยู่ที่คำ
ชะโนด ด้วยตำนานดังกล่าวทำให้พื้นที่ป่าคำชะโนดกลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงเรื่องราวของพญานาคและความศรัทธาของคนในท้องถิ่นผนวก
เข้าด้วยกัน กลายเป็นความเชื่อและตำนานพื้นบ้านดังกล่าว
ตำนานพื้นบ้านที่เล่าถึงเรื่องราวการเกิดขึ้นของแม่น้ำโขงมีพญานาคเป็นตัว
ละครหลักที่สำคัญ ตามตำนานที่เล่าขานกันในเชิงมุขปาฐะ ถ่ายทอดเรื่องราวสืบต่อกัน
มา ดังใจความว่า มีพญานาค 2 ตน คือ สุทโธนาคราชกับสุวรรณนาคราช ทั้งสองเป็น
เพื่อนรักกันและต่างฝ้ายต่างผลัดกันไปหาอาหาร โดยมีข้อตกลงกันว่า หากฝ่ายใด
ออกไปหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งต้องไม่ออกไป อาหารที่หามาได้ให้นำมาแบ่งกันอย่างละ
ครึ่ง เมื่อถึงคราวสุทโธนาคออกไปล่าสัตว์ ได้เนื้อช้างมา จึงนำเนื้อช้างที่ได้แบ่งให้
สุวรรณนาค พร้อมทั้งนำขนของช้างไปยืนยันว่า เป็นเนื้อช้างจริง ต่อมาเมื่อถึงคราวที่
สุวรรณนาคออกไปหาอาหาร ครั้งนี้ได้เม่นกลับมา จึงได้นำเนื้อและขนของเม่นไปมอบ
ให้แก่สุทโธนาคเหมือนเช่นเคย แต่สุทโธนาคกลับไม่พอใจ เพราะขนของเม่นที่มีขนาด
ใหญ่กว่าขนของช้าง ปริมาณเนื้อที่ได้ก็ควรมีมากกว่าเนื้อของช้าง จึงคิดว่า สุวรรณนาค
ไม่มีความซื่อสัตย์ ฝ่ายสุวรรณาคพยายามที่จะอธิบาย แต่ก็ไม่สำเร็จ เป็นขนวนให้เกิด
สงครามระหว่างนาคทั้งสองตน เกิดความเดือดร้อนสะเทือนไปทั้งสามโลก คือ โลก
สวรรค์ โลกมนุษย์และโลกบาดาล พระอินทร์ทรงทราบเรื่องจึงหาวิธีระงับเหตุ โดยให้
พญานาคทั้งสองแข่งขันสร้างแม่น้ำขึ้นคนละสาย หากใครสร้างถึงทะเลก่อนจะเป็นผู้
ชนะ เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนอง
กระแส และด้วยความที่สุทโธนาคมีนิสัยใจร้อน เมื่อพบเจอภูเขากั้นทางแม่น้ำก็จะหลบ
หลีกทำให้แม่น้ำโค้งไปโค้งมาจึงเกิดเป็นแม่น้ำโขง ฝ่ายสุวรรณนาคได้สร้างแม่น้ำขึ้นทาง
ทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคมีความละเอียดและใจเย็น แม่น้ำที่สร้างขึ้นจึงมี
ความตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย เกิดเป็นแม่น้ำน่าน สุทโธนาคเป็นผู้ที่สร้างแม่น้ำได้เสร็จ
ก่อน จึงเป็นผู้ชนะและได้ร้องขอรางวัลเป็นปลาบีก โดยขอให้มีอยู่ในแม่น้ำโขงเพียงแห่ง
เดียวเท่านั้น จากนั้นสุทโธนาคจึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์
ว่า “ตัวข้าเป็นเชื้อพญานาคจะอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้” (ลลนา ศักดิ์ชูวงษ์,
2548: 61) จึงขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ไว้ 3 แห่งด้วยกัน คือ 1)
พระธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ 2) หนองคันแทหรือหนองกระแส และ 3) คำชะโนด
นอกจากนั้น ยังขอทางขึ้นลงที่เป็นของพญานาคเท่านั้นไว้ที่บำคำชะโนด ซึ่งมีต้นชะโนด
ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ตลอดจนขอให้สุทโธนาคพร้อมด้วยบริวารสามารถกลายร่างเป็น
มนุษย์ได้ 15 วันในเวลาข้างขึ้น ส่วนอีก 15 วันในเวลาข้างแรมสุทโธนาคและบริวารจะ
มีร่างเป็นพญานาค เรียกชื่อว่า พญาศรีสุทโธนาคราช และตั้งบ้านเมืองปกครองอยู่ที่คำ
ชะโนด ด้วยตำนานดังกล่าวทำให้พื้นที่ป่าคำชะโนดกลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงเรื่องราวของพญานาคและความศรัทธาของคนในท้องถิ่นผนวก
เข้าด้วยกัน กลายเป็นความเชื่อและตำนานพื้นบ้านดังกล่าว
จากการค้นคว้าจากเอกสารและการเก็บข้อมูลในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณคำชะ
โนด โดยใช้วิธีวิทยาในการวิเคราะห์ตำนานพื้นบ้านและวิธีการทางคติชนวิทยา ตำนาน
ท้องถิ่นเกี่ยวกับเรื่องเล่าของสุทโธนาคเป็นส่วนสำคัญในการสร้างป่าคำชะโนดให้
กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจชุมชนและมีความหมายในเชิง
วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแนบแน่น
นอกจากนั้น จากการเก็บข้อมูลเบื้องต้นยังพบว่า พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด
โดยเฉพาะบริเวณวัดศิริสุทโธ เป็นพื้นที่ที่คนในท้องถิ่นและผู้นับถือจากต่างถิ่นเดิน
ทางเข้ามาใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะต่าง ๆ อาทิ การขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ การ
นำน้ำศักดิ์สิทธิ์กลับไปเพื่อเป็นขวัญกำลังใจตามความเชื่อ การท่องเที่ยวเพื่อสัมผัส
บรรยากาศตามตำนานเรื่องเล่า โดยเฉพาะการเชื่อมโยงพื้นที่คำชะโนดกับตำนาน
พญานาค ด้วยการผูกโยงเข้ากับเรื่องเล่าทางศาสนาเพื่อรับรองความเชื่อให้มี
ความหมายในเชิงวัฒนธรรม ทั้งที่เป็นวัฒนธรรมทางวัตถุ (Material Culture) และ
วัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ (Non-material Culture) จากความเชื่อดังกล่าว ผู้เขียนจึง
ประสงค์ที่จะศึกษาความสำคัญของความเชื่อเรื่องพญานาคและความสัมพันธ์ที่มีต่อวิถี
ชีวิตชุมชน โดยเฉพาะการเสี่ยงทาย ทำนายโชคบนพื้นฐานของความเชื่อนี้
เนื้อเรื่อง
ความเชื่อพญานาคกับการเสี่ยงทายในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนดเป็นความเชื่อ
พื้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับตำนานพญานาคเป็นองค์ประกอบหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อ
วัฒนธรรมการทำนาย การขอพรและการเสี่ยงโชคในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณคำชะโนด
ก่อให้เกิดวัตถุทางวัฒนธรรมที่ตอบรับกับการทำนายและการเสี่ยงทายในรูปแบบต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจชุมชนคำชะโนด เช่น การบูชาเครื่องรางของ
ขลัง การจำหน่ายสินค้าเครื่องบริโภค การใช้จ่ายในการเดินทางด้วยยานพาหนะต่าง ๆ
จากข้อมูลที่รวบรวมจากภาคทฤษฎีและสำรวจภาคสนามในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำ
ชะโนด พบความเกี่ยวข้องระหว่างความเชื่อด้านพญานาคกับการเสี่ยงทาย 3 รูปแบบ
คือ 1. การเสี่ยงทายขอเลขจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ 2. การเสี่ยงทายด้วยการลูบฆ้อง
อธิษฐานกับพ่อปู่ศรีสุทโธแม่ย่าศรีปทุมมานาคราช และ 3. การเสี่ยงทายด้วยการทุบ
หินคลอนหรือไข่พญานาค แต่ละรูปแบบมีรายละเอียด ดังนี้
1. การเสี่ยงทายขอเลขจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ในบริเวณคำชะโนดมีความเชื่อว่า
ต้นชะโนด เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีความเกี่ยวโยงกับตำนานป่าคำชะโนดและมี
ความเชื่อว่า หากผู้ใดนำต้นชะโนดออกจากป่าคำชะโนดจะต้องพบกับภัยพิบัติ
นอกจากนี้ ต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุเก่าแก่ ซึ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับการบนบานศาลกล่าว
โดยเฉพาะการขอเลขเพื่อนำไปเสี่ยงดวง จากการเก็บข้อมูลในปี พ.ศ. 2559 ยังมีการ
โรยแป้งบนเปลือกไม้เพื่อให้ปรากฎเป็นร่องรอยแล้วตีความว่า มีลักษณะคล้ายตัวเลขใด
แต่ในปี พ.ศ. 2560 ทางกองอำนวยการผู้ดูแลพื้นที่คำชะโนด ติดป้ายห้ามโรยแป้งบน
ต้นไม้ เนื่องจากการโรยแป้งบนเปลือกไม้ก่อให้เกิดคราบสกปรกในพื้นที่และเป็นโทษต่อ
ต้นไม้ที่มีอายุเก่าแก่ จึงทำป้ายห้ามโรยแป้งบนเปลือกต้นไม้ไว้แจ้งแก่นักท่องเที่ยวและผู้
มาเยือนคำชะโนด
จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า ในบริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณคำชะโนด มีการเสี่ยง
โชคเกี่ยวกับโชคลาภอย่างเข้มข้น ทั้งการขอเลขเด็ดเสี่ยงรางวัลและการบนบานเพื่อให้
สมปรารถนาในเรื่องต่าง ๆ ตามความปรารถนาของแต่ละคน
2. การเสี่ยงทายด้วยการลูบฆ้องอธิษฐานกับพ่อปู่ศรีสุทโธแม่ย่าศรีปทุมมา
นาคราช นอกจากการลูบแป้งและอธิษฐานเสี่ยงทายเพื่อขอเลขเด็ดจากต้นไม้แล้ว ยังมี
การเสี่ยงทายด้วยการลูบฆ้องอธิษฐาน โดยการเดินหาฆ้องที่รู้สึกต้องใจผู้เสี่ยงทาย
(บริเวณคำชะโนดมีฆ้องจำนวนมากและหลายขนาดตั้งอยู่หลายมุม) นั่งลงหน้าฆ้องแล้ว
ตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ต้องการทราบ จากนั้นเอามือลูบรอยนูนกลางฆ้องไปเรื่อย ๆ หาก
สิ่งที่ถามจะสำเร็จดังประสงค์ ฆ้องจะค่อย ๆ ดังกังวานตอบรับคำธิษฐาน แต่หากไม่
สมปรารถนา ฆ้องจะไม่เกิดเสียง แม้ผู้อธิษฐานเสี่ยงทยจะลูบนานเท่าไร้ก็ตาม การลูบ
ฆ้องอธิษฐานได้รับความนิยมมากในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณคำชะโนด โดยเฉพาะในวัน
พระหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
3. การเสี่ยงทายด้วยการทุบหินคลอนหรือไข่พญานาค ในพื้นที่คำชะโนดมี
สินค้าทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวช้องกับความเชื่อเรื่องตำนานพญานาคจัดให้บูชาเป็นจำนวน
มาก ในจำนวนนี้มีวัฒนธรรมทางวัตถุที่ตอบรับการเสี่ยงทายในเรื่องของดวงชะตาและ
บุญบารมีของผู้ครอบครอง อันได้แก่ เพชรพญานาคหรือมณีนาคาที่บรรจุอยู่ในหิน
คลอน ชาวบ้านเรียกติดปากว่า ไข่พญานาค ซึ่งมีไว้บูชาการเสี่ยงทายด้วยตนเองว่า เจ้า
ชะตาจะมีบุญบารมีในทางใด
ความหมายของเพชรพญานาคที่ระบุถึงบุญบารมีของผู้เสี่ยงทายทุบหินคลอน
และได้เพชรพญานาคสีต่าง ๆ มาครอบครอง สามารถสรุปตามการจำแนกได้ 11 เฉดสี
และบ่งบอกถึงวาสนาบารมี 11 รูปแบบ (อุดร ถาวร, 2560; ศักดิ์ดำรงค์ โชติวรรณ,
2560; Thaiamulet 168, 2562) ดังนี้
1. สีขาว หมายถึง พลังบารมีพุทธคุณ ผู้ได้ครอบครองเพชรพญานาคสีขาวบ่ง
บอกว่า เป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ ตั้งมั่นในศีลธรรม เนื่องจากมีความเชื่อว่า เพชรพญานาคสี
ขาวเกิดจากการบำเพ็ญเพียรพญานาคราช
2. สีดำ เป็นสีที่หาพบได้ยาก บ่งบอกถึงอานุภาพ สามารถที่จะสื่อสารกับ
โอปปาติกะด้วยจิตและการหยั่งรู้ได้ ผู้ครอบครองเพชรพญานาคสีดำ ต้องรู้จักควบคุม
อารมณ์และกิเลสของตน ตลอดจนต้องเป็นผู้ตั้งมั่นในสัจวาจา นอกจากนี้ ผู้ครอบครอง
จะได้รับโชคมีลาภอย่างที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ
3. สีแดง หมายถึง สีแห่งฤทธิ์อำนาจ เป็นสีอันทรงพลังกล้าหาญ ทั้งยังเป็นที่
เกรงขามสำหรับผู้อื่น ผู้ครอบครองเพชรพญานาคสีแดง จะเป็นผู้มีอำนาจวาสนา เป็นที่
ยำเกรงในหมู่คนทั่วไป โดยเฉพาะสีแดงพิเศษหรือเพชรพญานาคที่สีแดงจัด จนเห็น
ขอบวงนอกเป็นสีดำ หมายถึง พลังอานุภาพ ฤทธิ์อำนาจสูงกว่าสีแดงปกติ ผู้
ครอบครองเพชรพญานาคสีแดงพิเศษ ต้องตั้งมั่นในหลักศีลธรรมและคุณความดี มิ
เช่นนั้นอาจเกิดผลเสียและเป็นโทษแก่ผู้ครอบครอง
4. สีเขียว หมายถึง อำนาจแห่งจิตที่ประกอบด้วยเมตตาบารมี ผู้ครอบครอง
เพชรพญานาคสีเขียว บ่งบอกถึงเดช ตบะ บารมีของผู้ทรงธรรมที่มีจิตสัมผัสทางโลกลื้
ลับ จะเป็นที่เคารพและเป็นที่พึ่งทางจิตใจในหมู่ชนทั่วไป ผู้ครอบครองเพชรพญานาคสี
เขียวจะมีวาจาน่าเชื่อถือ กระทำสิ่งใดจะได้รับกรสนับสนุนจากทั้งเทพไท้เทวา มนุษย์
และสัตว์ อานุภาพของเพชรพญานาคสีเขียวจะมีมากตามความเข้มของสี
5. สีชมพู หมายถึง อานุภาพในทางเมตตามหานิยม ผู้ครอบครองเพชร
พญานาคสีชมพูจะเป็นผู้มีสง่ราศี มีความโดดเด่นสะดุดตา เป็นที่นิยมชมชอบของผู้ที่
พบเห็น มีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้อื่นได้ดี เพชรพญานาคสีชมพูมีพลังบันดาลด้านโชคลาภ
ชื่อเสียง ก่อให้เกิดทรัพย์จากเสน่ห์แห่งตน ทั้งยังเป็นที่พึงปรารถนาแก่คนทั้งหลาย ใคร
เห็นใครรัก ใครเห็นใครหลง มีเสน่ห์ดึงดูดสนใจจากผู้คนรอบข้าง
6. สีเหลือง หมายถึง ความมีโชคลาภ ความรุ่งเรืองสุกใส ผู้ครอบครองเพชร
พญานาคสีเหลืองจะเป็นผู้มีทรัพย์มาก ทำการสิ่งใดจะได้ผลกำไร เสี้ยงโชคก็ได้รับโชค
มีทรัพย์สินเงินทองไม่ขาดมือ ยิ่งสีเหลืองเข้มมากยิ่งหมายถึงทรัพย์ก้อนใหญ่ บ่งบอกว่า
ผู้ครอบครองจะเป็นผู้มีฐานะดีถึงขั้นเศรษฐี
7. สีส้ม หมายถึง พลังแห่งความกล้าหาญ รวมถึงพลังแห่งการป้องกันภัยจาก
ศาตราวุธ ผู้ครอบครองเพชรพญานาคสีส้ม จะเป็นผู้มีบารมีในด้านความเข้มแข็ง กล้า
หาญ เสียสละ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เพชรพญานาคสีส้มจะช่วยลดสลายอุปสรรค
พลังในทางลบที่เข้ามากระทบ บุคคลใดที่คิดจะเบียดเบียนผู้ครอบครองเพชรพญานาค
สีส้มจะต้องแพ้ภัยตนเองในที่สุด
8. สีชา (ลักษณะสีเหมือนน้ำชาชงบาง ๆ เนื้อสะอาดใส) เพชรพญานาคสีชา
ช่วยในเรื่องของการยับยั้งชั่งใจ โดยเฉพาะการยับยั้งอารมณ์ที่ขุ่นมัวด้วยกิเลส ผู้เสี่ยง
ทายและได้ครอบครองเพชรพญานาคสีชามักเป็นผู้ที่กำลังมีความกังวลบางอย่างใน
จิตใจและกำลังหาทางออกในด้านอารมณ์ความรู้สึก อานุภาพของเพชรพญานาคสีชา
จะช่วยเหลือให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวใสสว่างขึ้น ช่วยระงับกิเลสต่าง ๆ ของผู้ครอบครอง
. สีม่วง หมายถึง พลังอำนาจลึกลับที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของโอปปาติกะ
มีพลังหนักไปในทางดึงดูดทรัพย์และมิตรสหาย ผู้ครอบครองเพชรพญานาคสีม่วงจะ
เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย มีสัมผัสที่ 6 และเป็นผู้มีเสน่ห์อันล้ำลึกน่าพึง
ปรารถนา เป็นผู้ที่จะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นที่เกรงใจของทุกคนที่ได้พบเห็นพูดคุย
จนเกิดความนิยมยกย่อง นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันคุณไสยและภัยจากภูตผีปีศาจ
10. สีฟ้า หมายถึง บุญวาสนาที่สั่งสมมาในอดีตชาติ ผู้ที่ครอบครองเพชร
พญานาคสีฟ้าจะบ่งบอกถึงบุญวาสนาที่ได้สร้างสมมา มีชีวิตสุขสบายโดยไม่ต้องดิ้นรน
เหนื่อยยาก มีน้ำใจกว้างขวาง ใสสะอาด น่าเคารพนอบน้อม มีญาติสนิทและมิตรสหาย
พร้อมพรั่ง ทำการสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จโดยสะดวกและปลอดโปร่ง ผู้เสี่ยงทายได้
เพชรพญานาคสีฟ้าจะเป็นผู้ที่มีบุญ มีเทพยดาดูแลชู ชีวิตจะประสบแต่ความ
สะดวกสบาย
11. สีน้ำเงิน เป็นสีของวรรณะกษัตริย์หรือผู้ปกครองระดับสูง บ่งบอกถึง
อำนาจวาสนาและบารมีอันยิ่งใหญ่หรืออาจเป็นผู้ที่มีเชื้อสายระดับเจ้าเมือง ซึ่งจะต้อง
สร้างสะสมบุญญาธิการและบารมีมาตั้งแต่อดีตชาติ ผู้ที่เสี่ยงทายได้เพชรพญานาคสีน้ำ
เงินเป็นผู้ที่มีบารมีสูงและมีคุณธรรมในใจ ผู้ครอบครองเพชรพญานาคสีน้ำเงินจะมีทั้ง
เดช อำนาจ เกราะป้องกันศัตรูจากทิศทั้งแปด เป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่วไป ทั้งยัง
มีทรัพย์มาก เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ มีเทวดาประจำตนคอยรักษาคุ้มครอง อนึ่ง ผู้
ครอบครองเพชรพญานาคสีน้ำเงินต้องตั้งมั่นในศีลธรรม ประกอบคุณความดี มิฉะนั้น
จะเสื่อมยศและตกต่ำอย่างรวดเร็ว
ความเชื่อและความนิยมเกี่ยวกับเพชรพญานาคเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ใน
หมู่ของผู้มีศรัทธาเกี่ยวกับบารมีของพญานาค จากการเก็บข้อมูลภาคสนาม ผู้บูชาและ
ร้านผู้ให้บูชาไข่พญานาคต่างยอมรับว่า เป็นของที่ทำขึ้น มิได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่
ยังได้รับความนิยมจากผู้มาสักการะและบูชาเป็นของฝากจากคำชะโนดให้แก่ผู้ที่มีความ
เชื่อเดียวกัน
พญานาค
จากการศึกษาวิเคราะห์คำสัมภาษณ์ของพ่อจ้ำหรือพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีใน
พื้นที่คำชะโนด (ศักดิ์ดำรงค์ โชติวรรณ, 2560) สรุปได้ว่า ผู้บูชามองว่า เป็นการเสี่ยง
ทายรูปแบบหนึ่ง ไม่ต่างกับการเสี่ยงเซียมซีหรือทำนายในรูปแบบอื่นเพื่อส่งเสริม
กำลังใจ ทั้งยังเป็นของฝากที่มีความสวยงาม เมื่อพิจารณาถึงความหมายของเพชร
พญานาคแต่ละสี เทียบกับความหมายของเลขเซียมซีในวัดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ
ผู้ศึกษาพบว่า คำทำนายของเพชรพญานาค ล้วนให้ความหมายในเชิงบวกและส่งเสริม
กำลังใจของผู้เสี่ยงทาย ต่างกับการเสี่ยงเซียมซี ลูบฆ้องและเสี่ยงดวงเลขเด็ดซึ่งจะมีทั้ง
ดีและไม่ดี สมหวังและไม่สมหวัง ได้ลาภหรือรองวดหน้า ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาจึงสรุปว่า
การมีอยู่ของหินคลอน ไข่พญานาค มณีนาคาหรือเพชรพญานาค ความสำคัญมิได้อยู่ที่
แท้หรือไม่แท้ เกิดขึ้นโดยธรรมชาติสร้างสรรค์หรือมนุษย์ทำขึ้น แต่แก่นแท้อยู่ที่การให้
ความหวัง เติมเต็มความปรารถนาของผู้เสี่ยงทายในมิติต่าง ๆ ให้รู้สึกมีกำลังใจในการ
ดำเนินชีวิต
บทวิจารณ์
การวิเคราะห์การเสี่ยงทายและคำทำนายในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด
เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อพญานาคกับการเสี่ยงทายในพื้นที่
ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด ประกอบข้อมูลแวดล้อมทางวัฒนธรรมและความเชื่อเกี่ยวกับการ
เสี่ยงทายและการทำนายในสังคมไทย ผู้ศึกษาพบว่า ประเด็นหลักทางวัฒนธรรมที่
เกี่ยวกับความเชื่อที่น่าสนใจมีอยู่ 2 ประการ คือ 1) การเสี่ยงทายและทำนายโชคชะตา
ในพื้นที่คำชะโนด และ 2) การเสี่ยงทายและทำนายโชคชะตาที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ
ประเด็นแรก การเสี่ยงทายและทำนายโชคชะตาในพื้นที่คำชะโนด การทำนาย
โชคชะตาเป็นสิ่งหนึ่งที่ปรากฏในหลายวัฒนธรรม เนื่องจากมนุษย์ต้องการกำลังใจใน
การดำเนินชีวิตและแนวทางการแก้ปัญหาที่บางครั้งวิทยาศาสตร์ไม่อาจให้คำอธิบาย
หรือบรรเทาปัญหาได้ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับจิตใจ ในประเด็นนี้มีข้อมูลในปี พ.ศ.
2503 จากการศึกษาของโรเบิร์ต เทกส์เตอร์ (Textor, 1960) เรื่อง An Inventory of
Non-Buddhist Supernatural Objects in a Central Thai Village ซึ่งได้เสนอผล
การศึกษาวิเคราะห์สังคมชาวพุทธที่บางชัน พบระบบความเชื่อที่จำแนกได้ 3 ระบบ
คือ
1. ระบบความเชื่อพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม เช่น กฎแห่งกรรม
หลักศีลธรรม
2. ระบบความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวกับศีลธรรม เช่น การประกอบ
พิธีกรรมเพื่อขอฝน
3. ระบบความเชื่อทางโหราศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำนายอนาคตและไม่
สัมพันธ์กับหลักศีลธรรม
ความเชื่อเรื่องการเสี่ยงทายเหล่นี้เป็นลักษณะของวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อ
ชาวอุษาคเนย์ ซึ่งรวมถึงสังคมชาวไทยด้วย เช่น การเสี่ยงโชค การทำนายดวงชะตา
รวมถึงการพึ่งพาร่างทรงเพื่อสะสางธุระทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับญาติ
พี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วเพื่อสอบถามดวงวิญญาณญาติผู้ใหญ่ว่า ได้ทำพินัยกรรมไว้
หรือไม่ เก็บสมบัติมีคำไว้ที่ไหน อยากให้ลูกหลานทำบุญสิ่งใดไปให้ใช้สอยในอีกภพ
หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับสิ่งของที่หายไปว่า จะได้คืนหรือไม่ จะได้เลื่อน
ตำแหน่งเมื่อใด จะพบเนื้อคู่ตอนไหน นอกจากนั้น ยังมีการเสี่ยงทายโดยใช้วัตถุเป็นสื่อ
ในการทำนาย อาทิ การยกพระพุทธรูปเสี่ยงทายหรือการยกหินเสี่ยงทาย ซึ่งเป็น
วัฒนธรรมการทำนายที่ปรากฏในภาคอีสานของไทย ทั้งนี้ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา
และเพิ่มขวัญกำลังใจ
แม้รูปแบบของการเสี่ยงทายและทำนายจะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมและ
คติความเชื่อของแต่ละชนชาติ แต่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ การแสวงหาคำตอบจาก
คำทำนาย โดยเฉพาะในเรื่องที่ผู้เสี่ยงทายกำลังสงสัยและขาดความมั่นใจ ดังนั้น การ
เสี่ยงทายและทำนายโชคชะตาในพื้นที่คำชะโนดจึงเป็นระบบความเชื่ออย่างหนึ่งที่เป็น
ปรากฏการณ์เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ ดังที่โรเบิร์ต
เทกส์เตอร์ได้จำแนกไว้
ดังที่ผู้ศึกษาได้นำเสนอไว้ในข้างตันว่า ภายในบริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด
มีความเกี่ยวข้องระหว่างความเชื่อด้านพญานาคกับการเสี่ยงทาย 3 รูปแบบ คือ 1. การ
เสี่ยงทายขอเลขจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ 2. การเสี่ยงทายด้วยการลูบฆ้องอธิษฐานกับพ่อปู
ศรีสุทโธแม่ย่าศรีปทุมมานาคราช และ 3. การเสี่ยงทายด้วยการทุบหินคลอนหรือไข่
พญานาค ซึ่งการทำนายในรูปแบบต่าง ๆ เป็นวิธีระบายความคับข้องใจ สำหรับผู้ที่
ต้องการกำลังใจในการดำเนินชีวิตและแนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งมีศรัทธาในเรื่องราว
ของตำนานพญานาคและมีความเชื่อว่า พื้นที่คำชะโนดเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความ
เกี่ยวข้องกับพ่อปู่ศรีสุทโธแม่ย่าศรีปทุมมานาคราช
ในช่วงเวลาที่ไม่อาจแสวงหาคำตอบให้กับปัญหาในชีวิตหรือต้องการความหวัง
ที่จะเป็นพลังในการดำเนินชีวิตเมื่อรู้สึกสิ้นหวัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักได้รับบทบาทให้เป็นที่พึ่ง
ทางใจ ความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่คำชะโนด เกิดจากตำนานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับ
เรื่องราวของพญานาค ซึ่งลักษณะของเรื่องราวที่เป็นตำนานของสุทโธนาคที่สามารถ
เอาชนะสุวรรณนาคและเป็นตันกำเนิดของแม่น้ำโขงโดยบอกเล่าผ่านตำนานพื้นบ้านที่
สร้างความภูมิใจ สร้างคุณค่าและสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับตำนานและพื้นที่คำชะโนด
นั้น มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ถึงการฝ้าฟันไปสู่ความสำเร็จและการบรรลุถึง
เป้าหมาย ก่อให้เกิดกำลังใจและสะท้อนถึงความปรารถนาที่ยังไม่เกิดขึ้นในชีวิตจริง แต่
เป็นความหวังในการมีชีวิตอยู่ โดยใช้ความเชื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้มีกำลังใจในการ
ดำเนินชีวิตภายใต้ความคับข้องหมองใจอันเกิดจากปัญหาแวดล้อมต่าง ๆ ที่ไม่อาจ
หาทางออกได้ (มัชฌิมา วีรศิลป์, 2561: 44)
รูปแบบการเสี่ยงทายที่ปรากฏอยูในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด แม้ไม่อาจพิสูจน์
ได้ในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่สามารถใช้หลักทฤษฎีในเชิงคติชนวิทยาเข้ามาอธิบายได้ ดังที่
ศิราพร ณ ถลาง (2548: 350) กล่าวไว้ว่า “คติชนมีบทบาทโดยตรงในการทำหน้าที่
เสนอทางออกทางใจให้แก่มนุษย์ในสังคม” เนื่องจากมนุษย์มีข้อจำกัดทางกายภาพ เช่น
ไม่สามารถควบคุมโชชะตาของตนเองได้ มีความคับข้องใจที่ไม่อาจหาทางแก้ไขได้
เช่น เรื่องส่วนตัวที่ไม่อาจเอ่ยกับใคร อาทิ ปัญหามือที่ 3 ในชีวิตสมรส โรคภัยไข้เจ็บ
ทรัพย์สินสูญหาย ขอให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จึงจำเป็นต้องแสวงหาที่
พึ่งทางใจที่สอดคล้องกับความศรัทธาของตน ผ่านการกระทำและวัฒนธรรมทางวัตถุที่
แสดงออกถึงความเชื่อที่ไม่ขัดกับวัฒนธรรมของตน เช่น วิญญาณของภูตผีปู่ย่าตายาย
ด้วยการบนบานให้ท่านช่วยเหลือและทำนายความคาดหวังของชีวิตในอนาคต และ
ความเชื่อในเรื่องของพญานาคและความศรัทธาในพ่อปู่ศรีสุทโธแม่ย่าศรีปทุมมา
นาคราช ประกอบกับวัฒนธรรมวัตถุที่เป็นสื่อให้เกิดการเสี่ยงทายและทำนายโชคชะตา
ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด
ประเด็นที่สอง การเสี่ยงทายและทำนายโชคชะตาที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ
พญานาค จากข้อมูลการเสี่ยงทายและทำนายโชคชะตาในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณคำชะ
โนดที่มีความเชื่อมโยงกับความเชื่อพญานาค สะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธาที่คนไทย
จำนวนหนึ่งมีต่อพญานาค ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล กัญญารัตน์ เวชช
ศาสตร์ (2559: 1107) ได้กล่าวถึงมโนทัศน์เรื่องนาคของชนชาติไทยว่า นาคมีความ
เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ในฐานะที่มีความศรัทธาต่อพระศาสนาอย่างยิ่ง ดัง
ปรากฏให้เห็นทั้งในงานวรรณกรรม ศิลปะ ความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรม เช่น
พระพุทธรูปปางนาคปรกหรืองานจิตรกรรมเล่าเรื่องนาคแปลงกายเป็นมนุษย์เข้ามาขอ
บวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นต้นเรื่องของประเพณีการบวชนาคในพระพุทธศาสนา
ด้วย (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 4 ข้อ 111: 175 -177) เมื่อมีผู้ศรัทธาในพญานาค
ทั้งในฐานะที่เกี่ยวข้องและค้ำชูพระพุทธศาสนา ซึ่งมีสถานะเป็นสัตว์กึ่งเทพ มีความ
ศักดิ์สิทธิ์และมีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลโชคลาภและความสำเร็จต่าง ๆ ได้ สถานที่และ
เรื่องราวที่เชื่อมโยงกับพญานาคจึงเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกจำลองให้เป็นรูปธรรมและ
กลายเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุ เพื่อใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่
ศรัทธา โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเผชิญภาวะวิกฤตและต้องการทางออกหรือกำลังใจ การ
เสี่ยงทายขอเลขเสี่ยงโชคจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ การเสี่ยงทายด้วยการลูบฆ้องอธิษฐานกับ
พ่อปู่ศรีสุทโธนาคราชและแม่ย่าศรีปทุมมานาคราช การเสี่ยงทายด้วยการทุบหินคลอน
หรือไข่พญานาค ซึ่งปรากฏในพื้นที่คำชะโนด จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความเชื่อ
เกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีพญานาคเป็นตัวแทน (อนัญญา ป่านจีน, 2553: 18)
ผ่านการเสี่ยงทายในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งปรากฏตัวอย่างให้ในพื้นที่คำชะโนด
ความเชื่อเรื่องพญานาคกับการเสี่ยงทายมิได้ปรากฎเฉพาะในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
บริเวณคำชะโนด แต่ยังปรากฎข้อมูลที่แสดงถึงการเสี่ยงทายและทำนายโชคชะตาที่
เกี่ยวข้องกับความเชื่อพญานาคในรูปแบบของตำราทางโหราศาสตร์ลักษณะอื่น รวมถึง
ในวัฒนธรรมความเชื่อและเรื่องราวอื่นที่แพร่กระจายจากถิ่นหนึ่งสู่ถิ่นหนึ่ง ซึ่งจะเกิด
การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาด้วยเหตุผลทางวัตถุประสงค์และวัฒนธรรมที่แวดล้อม ดังใน
หนังสือเรื่อง The Folktale ของสติธ ธอม์ปสัน (Thompson, 1977) ที่ตีพิมพ์ในปี
พ.ศ. 2520 ได้ระบุถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของเรื่องเล่า ความเชื่อและ
เรื่องราวที่แพร่กระจายไปตามถิ่นต่าง ๆ เพราะเมื่อเรื่องราวเดินทางจากสถานที่หนึ่ง
ไปสู่อีกสถานที่หนึ่ง ถ่ายทอดผ่านกาลเวลาจากรุ่นสู่รุ่น สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรม
เปลี่ยน จุดประสงค์ในการถ่ายทอดเรื่องราวก็จะเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของ
สังคม ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเรื่องหรือรายละเอียดที่สอดแทรกภายใน
เรื่องราวนั้น นอกจากนี้ เรื่องเล่าพื้นบ้านเป็นวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดด้วยประเพณีการ
บอกเล่า (Oral Transmission) จากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งและเป็นวัฒนธรรมของ
ชุมชนหรือท้องถิ่นไม่ใช่ของปัจเจกบุคคล (ศิราพร ณ ถลาง, 2558: 247) ด้วยเหตุผล
จากการเดินทางผ่านกาลเวลาของเรื่องเล่า ประกอบกับการเดินทางผ่านพื้นที่ทาง
วัฒนธรรมที่มีความแตกต่างหลากหลาย ทำให้สตอรี (Story) หรือเรื่องราวที่ถ่ายทอด
ต่อ ๆ กันมา เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของวัตถุประสงค์ของการเล่าเรื่องเพื่อ
ตอบสนองการนำไปใช้ของชุมชน
เรื่องราวของพญานาคเองมีการตีความแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น โดยใช้เค้า
โครงเรื่องเดียวกันหรือใช้สัญลักษณ์เดียวกัน อาทิ นาคในศาสนาฮินดู เป็นผู้อุทิศตนรับ
ใช้พระวิษณุและเป็นพระแท่นบรรทมให้แก่องค์เทพและได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่
เป็นแกนหมุนในพิธีกวนเกษียรสมุทร ในขณะที่นาคในพระพุทธศาสนาเป็นงูใหญ่ผู้
บำเพ็ญเพียรและมีศรัทธาในศาสนาและต้องการที่จะบวชเป็นภิกษุ ในประเพณีการ
บวชของไทยหากผู้ใดจะบวชเป็นพระต้องบวชเป็นนาคก่อน มีเรื่องเล่าสืบมาว่า นาค
แปลงตนเป็นมนุษย์มาบวช แต่พระพุทธองค์ดำริว่า สัตว์เดรัจฉานมิใช่วิสัยที่จะบวชใน
พระศาสนา จึงรับสั่งให้ภิกษุรูปนั้นออกจากเพศบรรพชิตกลับเป็นพญานาคคงเดิม นาค
จึงทูลขอกับพระพุทธเจ้าว่า ถึงอยู่ต่อไม่ได้ ก็ขอเพียงแต่ฝากชื่อไว้ในพระพุทธศาสนา
หากผู้ใดจะบวชแล้วก็ขอให้เรียกว่า นาค ก่อนเสมอไป (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 4
ข้อ 111: 175-177; อนัญญา ปานจีน, 2553: 23)
นาคมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ครั้งที่พระองค์เสวยชาติเป็นพระ
โพธิสัตว์ ได้เสวยพระชาติเป็นนาค ดังปรากฏเรื่องราวในจัมเปยยชาดก (พระไตรปิฎก
ภาษาไทย เล่ม 27 ข้อ 240-283: 512-519) สังขปาลชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย
เล่ม 27 ข้อ 143-194: 618 627) และภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 28
ข้อ 784-981: 305-334) นอกจากนี้ น่าคยังมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า เช่น
พญานาคมุจลินท์ที่โอบรอบพระรรกายของพระพุทธเจ้าด้วยการขนดตัว 7 รอบ แล้ว
แผ่พังพานเหนือพระเศียรของพระองค์เพื่อป้องฝน ลมและความหนาวจากพายุฝน
(พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 25 ข้อ 11-12: 189-190) จะเห็นว่า เรื่องราวความเชื่อ
เกี่ยวกับนาคได้ผูกโยงกับศาสนา ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้นับถือศาสนาทั้งพุทธ
และฮินดู ทำให้พญานาคถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแผ่ขยายจากเรื่อง
เล่าในรูปแบบของตำนานศาสนา ผู้ที่ศรัทธาในศาสนาก็จะมีความศรัทธาและยำเกรงใน
พญานาคเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ชัดจากงานศิลปะแขนงต่าง ๆ ที่สืบสานงาน
พระพุทธศาสนา จะมีพญานาคปรากฏอยู่ควบคู่กันเสมอ เช่น คันทวยนาค บันได
พญานาค ซุ้มประตูพญานาคและพระพุทธรูปปางนาคปรก
พญานาคปรากฏในวัฒนธรรมและความเชื่อหลายประการและยังปรากฏ
บทบาทในเรื่องราวทางศาสนา ทั้งในพระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูที่มีความ
เกี่ยวข้องกับสังคมไทยอย่างแนบแน่นทั้งในด้านความเชื่อ ประเพณีและพืธีกรรม
สำหรับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนดเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านเชื่อว่า พญานาคได้ใช้อิทธิฤทธิ์
เนรมิตขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งอยู่บริเวณวัดศิริสุทโธและเป็นเมืองบาดาลของ
พญานาค (วิเชียร นามกร, 2554: 36) จากความเชื่อดั่งกล่าว ทำให้ผู้ที่มีความเชื่อเรื่อง
พญานาคได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนดเข้า
ด้วยกัน ทำให้เห็นว่า สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่อยู่ของพญานาคอย่างแท้จริง โดย
ศรัทธาได้
กลมกลืนกับวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นที่เป็นผู้บอกเล่าและสืบทอดความเชื่อด้านนี้ใน
ลักษณะของตำนานท้องถิ่นที่มีผลต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชน
สรุป
เมื่อศาสนาและตำนานพญานาคเป็นที่พึ่งทางใจแก่ผู้มีศรัทธาความเชื่อและ
มนุษย์ต้องการที่พึ่งทางใจหรือต้องการสร้างคุณค่าหรือมูลค่าให้กับสิ่งใด ก็จะนำความ
เชื่อและความศรัทธามาผูกโยงกับสิ่งนั้น ลักษณะนี้จะเห็นได้จากการนำนิทานประจำ
ถิ่นมาบอกเล่าและเรียบเรียงขึ้นเป็นชาดก และผูกตัวละครเอกของเรื่องเข้ากับการเสวย
ชาติของพระพุทธเจ้า เกิดเป็นชาดกนอกนิบาตขึ้นจำนวนมาก ลักษณะดังกล่าวเกิด
ขึ้นกับเรื่องราวของพญานาคที่เชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนา ทำให้สถานะของพญานาค
มีลักษณะเป็นกึ่งสัตว์กึ่งเทพ สามารถปกป้องรักษาและบันดาลความเป็นไปให้เกิดแก่ผู้
ในมิติของการเสี่ยงทายและทำนายโชคชะตาอันเป็นที่พึ่งทางใจของผู้ศรัทธา
เรื่องราวของพญานาคและกำลังเผชิญปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้ พญานาคกับการ
เสี่ยงทายจึงถูกผูกโยงเข้าด้วยกันอย่างมีเหตุผล เพื่อเป็นเครื่องปลอบประโลมใจให้มี
ความหวัง เกิดกำลังใจในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในภาวะวิกฤตที่ต้องหาคำตอบและ
หนทางแก้ไขปัญหาไม่ได้ ผู้ที่ศรัทธาเรื่องราวของพญานาคและต้องการที่พึ่งทางใจ ต่าง
มาสักการะพ่อปู่ศรีสุทโธแม่ย่าศรีปทุมมานาคราชในบริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด
และเสี่ยงทายโชคชะตาในลักษณะต่าง ๆ ตามความประสงค์ที่อยู่ภายในใจของตน
หากมองในเชิงรูปธรรม จับต้องได้และปรากฎหลักฐานเชิงประจักษ์ในสังคม
ความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค ทั้งในมิติของการเสี่ยงทายและมิติทางวัฒนธรรมได้ส่งผล
ต่อวิถีชีวิตของชุมชนที่ดำรงความเชื่อเกี่ยวกับนาคไว้ในอัตลักษณ์ อันฝังรากลงในวิถี
ชีวิตและความเชื่อ เรื่องราวพญานาคก็ยังส่งผลในเชิงเศรษฐกิจชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ
อย่างเห็นได้ชัด เช่น ประเพณีชมบั้งไฟพญานาคในวันออกพรรษาของจังหวัดหนองคาย
การหมุนเวียนเศรษฐกิจในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี และ
สินค้าทางวัฒนธรรมที่นำแนวคิดเกี่ยวกับพญานาคมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบของ
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตลอดจนการตกแต่งสถานที่และพัฒนาเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้แก่
ชุมชน ในลักษณะของการทำวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้าที่แสดงถึงอัตลักษณ์และ
ความเชื่อประจำถิ่นของตน
ทั้งนี้ เมื่อวัฒนธรรมทางวัตถุได้รับความนิยมในกลุ่มของผู้ที่ศรัทธา ก็จะเกิด
ความต้องการซื้อ (Demand) ส่งผลให้คนในชุมชนผลิตสินค้ำออกมาขายหรือบูชา อัน
จะก่อให้เกิดความต้องการขาย (Supply) ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เกิดจากทุนทางวัฒนธรรม
หมุนเวียนรายได้สู่ชุมชน กล่าวได้ว่า รายได้ที่เกิดขึ้นนี้เป็นมูลค่าที่มีรากฐานมาจาก
ความรู้และความสามารถของชุมชนในการนำความเชื่อและตำนานในท้องถิ่นของตนมา
ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนอย่างสูงสุดนั่นเอง
ที่มา : วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ
Journal of Saengkhomkham Buddhist Studies
ISSN: 2697-5998 (Online)
ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน 2564) Vol. 6 No. 1 (January – April 2021)
เอกสารอ้างอิง
กัญญารัตน์ เวชชศาสตร์. (2559). มโนทัศน์เรื่องนาคของชนชาติไทย. วารสาร
Veridian E-Journal, Silpakorn University (ฉบับภาษาไทย มนุษยศาสตร์
สังคมศาสตร์ และศิลปะ). 9 (1), 1099-1116.
พลธรรม์ จันทร์คำ. (2551). พญานาค: จากอุดมการณ์ที่เมืองคำชะโนดสู่กระบวนการ
ทำให้เป็นสินค้า. วารสารพัฒศาสตร์. 5 (1), 1-21.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย เล่ม 4, 25, 27, 28. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย.
มัชฌิมา วีรศิลป์. (2561). ความสัมพันธ์ระหว่างตำนานท้องถิ่นกับการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
บริเวณคำชะโนด จังหวัดอุดรธานี. รายงานการวิจัย. โครงการพัฒนานักวิจัย
ใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ลลนา ศักดิ์ขวงษ์. (2548). การให้ความหมายและเหตุผลการดำรงอยู่ของประเพณีบั้ง
ไฟพญานาคในยุคโลกาภิวัตน์. วิทยานิพนธ์ปริญญานิเทศศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยธรุกิจบัณฑิตย์.
วิเชียร นามกร. (2554). การศึกษาอิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาคที่มีผลต่อสังคมไทย
ปัจจุบัน. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย.
ศักดิ์ดำรงค์ โชติวรรณ. (2560). พ่อจ้ำคำชะโนด (หมอพราหมณ์). สัมภาษณ์. 20
มิถุนายน.
ศิราพร ณ ถลาง. (2548). ทฤษฎีคติชนวิทยา: วิชีวิทยาในการวิเคราะห์ตำนาน-นิทาน
พื้นบ้าน. กรุงเทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ คณะอักษร
ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บรรณาธิการ. (2558). เรื่องเล่าพื้นบ้านไทยในโลกที่เปลี่ยนแปลง.
กรุงเทพมหานคร: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
สุรเชษฐ์ อินธิแสง. (2560). สุทโธนาคแห่งคำชะโนด: พื้นที่สักการะของสังคมในบริบท
ความทันสมัย. การประชุมวิชาการ “มหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย” ครั้งที่
13. คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วันที่ 7-8
กันยายน. หน้า 127-131.
อนัญญา ปานจีน. (2553). การศึกษาคติความเชื่อเรื่องพญานาคในพื้นที่อีสานตอนบน
เพื่อเสนอแนวทางสู่การออกแบบสถาปัตยกรรมภายในพิพิธภัณฑ์นาคา.
วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร.
อุดร ถาวร. (2560). ผู้ประกอบการร้านเครื่องบูชาในพื้นที่คำชะโนด. สัมภาษณ์. 20
มิถุนายน.
Textor, R. B. (1960). An Inventory of Non-Buddhist Supernatural Objects
in a Central Thai Village. (Doctoral Dissertation). Cornell
University. New York.
Thaiamulet 168. (29 พฤษภาคม 2562). ความหมายเพชรพญานาคต่างสี. สืบค้น
เมื่อ 7 ตุลาคม 2563, จากhttps:/www.thaiamulet 168.com/content/
5493/ความหมายเพชรพญานาคต่างสี
Thompson, S. (1977). The Folktale. Berkeley: University of California
Press.