หูฟังแบบ True Wireless รุ่นที่ 2 ของแบรนด์ที่จัดเต็มด้วยเบสลงลึกระดับ 5 Hz จนเป็นหูฟังที่เบสลึกและอร่อยที่สุดที่เราเคยฟัง มาดูรีวิวกันเลยดีกว่า
The post รีวิว Devialet Gemini II ขึ้นแท่นหูฟังตัวท็อปของวงการ เบสลึกที่สุดเท่าที่เคยลอง! appeared first on #beartai.
Devialet เป็นแบรนด์เครื่องเสียงจากฝรั่งเศสที่โดดเด่นมากเรื่องนวัตกรรมเสียงนะครับ ตั้งแต่ลำโพง Phantom อันเลื่องชื่อที่ให้เสียงได้ใหญ่ หนักแน่นกว่าขนาดตัว มาถึง Devialet Gemini II หูฟังแบบ True Wireless รุ่นที่ 2 ของแบรนด์ที่จัดเต็มด้วยเบสลงลึกระดับ 5 Hz จนเป็นหูฟังที่เบสลึกและอร่อยที่สุดที่เราเคยฟัง มาดูรีวิวกันเลยดีกว่าครับ
ดีไซน์
งานออกแบบของ Devialet Gemini 2 ค่อนข้างประนีประนอมระหว่างความสวยงามกับการใช้งานจริงมากขึ้นกว่า Gemini ตัวแรกนะครับ โดยเฉพาะเคสเก็บหูฟังของ Devialet Gemini 2 ที่กลับมาใช้ดีไซน์ฝาเปิดแบบหูฟัง TWS ทั่วไป ต่างจาก Gemini รุ่นแรกที่เคสหูฟังใช้การสไลด์เปิดเป็นเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน ซึ่งแม้ว่าจะเสียเอกลักษณ์ไป แต่ก็ได้เคสขนาดเล็กลงมากจนสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก
แต่ Gemini 2 ก็มีสิ่งที่มาทดแทนคือสีสันของเคสและหูฟังจากรุ่นแรกที่มีสีดำอย่างเดียว ในรุ่นใหม่นี้มีให้เลือกถึง 3 สีคือ ขาวกับดำเป็นสีปกติ และสีพิเศษคือทอง Opera de Paris ซึ่งใช้ทอง 24K มาตกแต่ง ซึ่งสีนี้จะมีราคาสูงกว่าสีปกติ และเพิ่มความหรูหราด้วยแถบพลาสติกเคลือบโลหะมันวาวตรงกลางเคส ที่สลักชื่อ DEVIALET ลงไป
ฟังก์ชันของเคสชาร์จนี้ก็สามารถชาร์จผ่าน USB-C ได้ที่ด้านใต้เคส หรือจะชาร์จไร้สายผ่านแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi ก็ได้ นอกจากนี้ด้านหลังเคสยังมีปุ่มที่ใช้สำหรับ Pair หูฟังกับอุปกรณ์ใหม่ (เปิดฝาแล้วกดค้าง 3 วินาทีตอนที่หูฟังยังอยู่ในเคส) หรือใช้รีเซ็ตหูฟังก็ได้
ส่วนตัวหูฟังเองก็มีขนาดเล็กกว่ารุ่นแรกถึง 40% แถมยังเบาลง 35% ทำให้สวมใส่ก็สบายกว่า ใส่ฟังเพลงได้นานกว่าหูฟังรุ่นเดิม ส่วนดีไซน์ของหูฟังก็ยังอิงมาจากลำโพง Phantom คล้ายกับ Gemini รุ่นแรก บริเวณโลโก้ Devialet ของหูฟังก็ยังเป็นบริเวณที่ใช้สัมผัสสั่งงานอยู่เหมือนเดิม
และจุกหูฟัง ในกล่องมีจุกซิลิโคนแถมมาให้ถึง 4 คู่ 4 ขนาดตั้งแต่ XS / S / M / L เพื่อให้เหมาะกับขนาดหูของทุกคน โดยที่ตัวหูฟังจะใส่ขนาด M มาให้ตั้งแต่แรก ซึ่งข้อดีของการที่เป็นจุกหูฟังแบบซิลิโคน คือมันดูแลรักษาได้ง่ายกว่าจุกหูฟังแบบโฟม และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าด้วย ไม่ต้องซื้อจุกมาเปลี่ยนบ่อย ๆ โดยหูฟังสีขาวกับทอง จะให้จุกสีขาวมา ส่วนหูฟังสีดำ จะได้จุกสีดำครับ
การควบคุม
การใช้งาน Devialet Gemini II นั้นตรงไปตรงมา จำไม่ยาก ใช้ไม่อยาก เริ่มต้นจากการควบคุมหูฟังโดยการแตะที่ตัวหูฟังก่อน มีคำสั่งดังนี้
แตะหูข้างซ้ายแตะหูข้างขวาแตะ 1 ครั้งเล่นเพลง-หยุดเพลงเล่นเพลง-หยุดเพลงแตะ 2 ครั้งย้อนเพลง / รับสาย-วางสายเปลี่ยนเพลงถัดไป / รับสาย-วางสายแตะค้างสลับโหมด ANC / ปฏิเสธสายสลับโหมด ANC / ปฏิเสธสายแตะ 2 ครั้งแล้วค้างลดเสียงเพิ่มเสียง
การควบคุมเหล่านี้ก็สามารถเข้าแอป Devialet Gemini ในมือถือไปปรับได้อีกครับ อาจจะเปลี่ยนการแตะค้างที่หูข้างซ้ายเป็นการเรียกผู้ช่วยอัจฉริยะจากมือถือก็ได้เช่นกัน
ส่วนการควบคุมผ่านแอปก็ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ สามารถปรับ EQ ได้ 6 Band, ปรับสมดุลเสียงซ้าย-ขวาได้ (Stereo Balance), สามารถเลือกได้ว่าเวลาถอดหูฟังจะให้เพลงหยุดเองไหม (Smart Pause), สามารถเปิด-ปิดฟังก์ชัน Multipoint ที่ทำให้เชื่อมอุปกรณ์ได้พร้อมกัน 2 ตัว รวมถึงจัดการรายชื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ อุปกรณ์ไหนจะไม่เชื่อมแล้วก็สั่งลบออกไปได้
ถ้าเทียบกับหูฟังยุคใหม่แบรนด์อื่น ๆ หลายคนคงนึกถึงฟีเจอร์ปรับรูปแบบเสียงอัตโนมัติตามที่ตำแหน่งที่ใช้งาน หรือการเปิดเสียงภายนอกอัตโนมัติเมื่อเราพูด แต่ถ้าใครเป็นคนที่ชอบหูฟังที่ทำงานตามที่เราสั่งอย่างเดียวก็พอไม่ต้องช่วยคิดก็ได้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไรครับ
ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ สามารถใช้ต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง และชาร์จกับเคสใช้ได้สูงสุด 22 ชั่วโมงครับ
สเปกด้านเสียง
Devialet Gemini II จัดเต็มเทคโนโลยีเสียงมาหลายอย่างให้สมกับการเป็นหูฟังตัวท็อปของค่ายและน่าจะเป็นตัวท็อปของโลกได้ไม่ยาก เริ่มตั้งแต่ไดรเวอร์ขนาด 10 mm ใช้แม่เหล็ก Neodymium ดีไซน์พิเศษเคลือบไทเทเนียม ตอบสนองความถี่เสียงตั้งแต่ 5 – 20,000 Hz ให้ความดังสูงสุด 120 dB SPL พร้อมรองรับ Bluetooth 5.2 และ Codec เป็น SBC, AAC และ aptX (ไม่รองรับกลุ่ม Hi-Res อย่าง LDAC หรือ aptX Adaptive นะ Devialet ไม่สนใจเรื่อง Hi-Res มาแต่ไหนแต่ไร)
ส่วนเทคโนโลยีเฉพาะของ Devialet ที่ใส่เข้าไปใน Gemini II รุ่นนี้คือ
AWR (Active Wind Reduction) – เทคโนโลยีป้องกันเสียงลมที่พัฒนาดีไซน์ของหูฟังให้มีแผ่นป้องกันลมเข้าไมโครโฟนอย่างดี ประกอบกับอัลกอริทึมที่เขียนมาตรวจจับเสียงลมและจัดการโดยอัตโนมัติ
IDC (Internal Delay Compensation) – อัลกอริทึมพิเศษเพื่อชดเชยดีเลย์ที่เกิดขึ้นภายใน เพิ่มความสามารถในการจัดการเสียงรบกวนในย่านความถี่กลาง ตั้งแต่ 1,500 Hz ขึ้นไป
Adaptive Noise Cancellation – เทคโนโลยีลดเสียงรบกวนภายนอกที่ Devialet พัฒนาขึ้นมาใหม่ จูนการทำงานให้เหมาะกับช่องหูอัตโนมัติ และอาศัยข้อมูลจากไมค์ Feedback และ Feedforward เพื่อลดเสียงรบกวนได้มากสุด 40 dB
เสียงของ Devialet Gemini II
เราบอกมาตลอดนะครับว่า Devialet Gemini II เป็นหูฟังที่เบสหนัก แต่ถ้าไปดูกราฟการเรนเดอร์เสียงแล้ว จะเห็นว่ามันค่อนข้างเรียบ ไม่ได้มีการบูสท์ช่วงเบสขึ้นมาเหมือนหูฟังหลาย ๆ รุ่นด้วยซ้ำ จึงคิดได้ว่าเสียงเบสที่หนักหน่วงของ Gemini II จึงเกิดจากการที่มันสามารถแสดงเสียงได้เป็นธรรมชาติไปจนถึงย่านต่ำมาก ๆ ไม่ได้มีการเร่งเบสในช่วง Mid-Bass, High-Bass เพื่อชดเชยสิ่งที่ทำไม่ได้ในช่วง Low-Bass แบบที่หูฟังหลายรุ่นทำกัน เพราะฉะนั้นเสียงของ Devialet Gemini II จึงเป็นแบบนี้ครับ
เบส: ให้เสียงต่ำแบบคายมาให้หมด แสดงมาให้สุด เพลงออกแบบเสียงเบสไว้ยังไงก็โชว์มันออกมา เพลงที่ตั้งใจใส่เบสไว้เยอะเผื่อชดเชยหูฟังหรือลำโพงที่ทำเสียงต่ำได้ไม่ถึงจึงอาจจะรู้สึกว่าเบสเยอะเกินไปบ้าง แต่เพราะมันไม่ใช่เบสที่บูสท์ให้เยอะกว่าปกติ ทำให้เพลงที่ทำออกมาดี ก็ไม่ได้มีเบสเยอะกว่าปกติ คือเพลงที่เบสจาง ๆ มันก็จางแบบนั้น ไม่ได้เร่งขึ้นมา
เสียงกลาง-แหลม: ก็ยังขับออกมาได้ดี เสียงโดดเด่นออกมาไม่แพ้เสียงเบส ให้เสียงร้องที่หวานลอยเชิดออกมา เสียงแหลม เสียงสแนร์ก็แสดงออกมาได้ดีเช่นกัน
Soundstage: เวทีเสียงของหูฟังรุ่นนี้ไม่ได้กว้างมากครับ คือได้ยินเครื่องดนตรีชัดเจนแต่ตำแหน่งชิ้นดนตรีไม่ได้คมมากนัก
โดยรวมแล้วเสียงของ Devialet Gemini II คือให้มาสุดในทุกย่าน แต่เสียงลักษณะนี้ก็อาจจะทำให้บางคนรู้สึกว่าโดนอัดเต็ม ๆ ในทุกย่านได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าแรกฟังแล้วรู้สึกขัด ๆ ให้ลองฟังสักพักให้หูได้จูนกับเสียงลักษณะนี้ดูครับ สุดท้ายอาจจะชอบก็ได้ครับ
ส่วนเรื่องการตัดเสียงรบกวนก็ทำได้ดีอันดับต้น ๆ ในตลาดแล้วครับ ซึ่ง Devialet ทำระบบตัดเสียงได้ดีมาตั้งแต่ Gemini รุ่นแรกแล้ว ซึ่งรุ่นนี้ก็ทำได้ดีขึ้น ส่วนการเปิดเสียงจากภายนอกหรือ Transparency ก็ทำออกมาได้ดีครับ แยกทิศทางเสียงซ้าย-ขวาได้ ให้คุณภาพเสียงภายนอกได้ใกล้เคียงกับตอนที่ไม่ได้ใส่หูฟัง แต่หูฟังรุ่นนี้ไม่มีโหมด off นะครับ คือเราต้องเลือกไปเลยว่าจะตัดเสียงรบกวน หรือดึงเสียงภายนอก ไม่มีตัวเลือกที่ 3 ที่ไม่ตัดเสียงรบกวน และไม่ดึงเสียงภายนอก ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ เพราะปกติจะหูฟังรุ่นไหนก็ใช้แค่โหมดตัดเสียงกับดึงเสียงภายนอกนี่แหละ
เทียบกับหูฟังรุ่นอื่น ๆ
ก่อนอื่นเราอัดเสียงไมค์จาก Devialet Gemini II มาให้ฟังกันก่อนครับ เพื่อที่จะได้เทียบกับไมค์ของหูฟังรุ่นอื่น ๆ ได้ ซึ่งเราว่าไมค์ของ Gemini II นี่เป็นไมค์ของหูฟัง TWS ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดแล้วนะ
เทียบกับ Devialet Gemini รุ่นแรก
ในแง่ของเสียง เบสของรุ่นที่ 2 สมบูรณ์กว่า คือเบสลงลึกกว่า ให้เสียงเคลียร์กลมกล่อมกว่า ส่วนเสียงเบสของ Gemini 1 ที่ว่าดีแล้ว แต่ถ้าฟังเทียบกับ Gemini 2 เสียงเบสจะนัว ๆ กลืน ๆ ไม่เห็นไลน์เบสชัดเท่ารุ่นใหม่ ส่วนเสียงกลาง Gemini 2 ก็ให้เสียงร้องที่สดใสชัดเจนกว่า รายละเอียดของเสียงนุ่มนวล เสียงแหลมเป็นประกาย แม้ Gemini 1 ถือว่าทำได้ดี แต่ Gemini 2 ทำได้ดียิ่งกว่า
ส่วนการตัดเสียง เนื่องจากว่าเป็นหูฟังเจนเก่ากว่า ก็จะมีความสามารถในการตัดเสียงรบกวนได้น้อยกว่า Gemini 2 อยู่ระดับหนึ่งครับ แต่ก็ยังถือว่าเป็นหูฟังที่ตัดเสียงได้ดี
ส่วนเสียงไมค์ทำได้ดีประมาณหนึ่งครับ ซึ่งก็ถือว่าดีแล้วสำหรับหูฟังเจนที่แล้ว แต่พอเทียบกับรุ่นใหม่ก็อาจจะรู้สึกดรอปนิดหน่อย
เทียบกับ AirPods Pro 2
เสียงเบส AirPods Pro 2 ทำได้ในระดับที่น่าพอใจ ฟังสนุกสำหรับการฟังเพลงทั่วไป แต่เทียบไม่ได้เลยกับเบสของ Devialet Gemini 2 ที่ลึกกว่า รายละเอียดจัดเต็มกว่า ไดนามิกสูงกว่า ส่วนเสียงกลาง AirPods Pro 2 ก็ให้เสียงร้องได้หวาน ฟังสบาย แต่ไม่ได้ขับจนเด่นเท่ากับที่ Gemini 2 ทำ และเสียงแหลมจะทู่ ๆ ไม่ได้ขับจนเป็นประกายเท่ากับ Gemini 2 แต่เรื่องเวทีเสียงและความชัดเจนของชิ้นเครื่องดนตรี AirPods Pro 2 กลับทำได้ดีกว่า
ส่วนการตัดเสียงรบกวน AirPods Pro 2 ก็ยังเป็นเทพด้านการตัดเสียงรบกวนเสียงกลาง เป็นหูฟังที่ตัดเสียงพูดออกไปได้เยอะที่สุด ส่วนเสียงต่ำกับเสียงสูงจะตัดได้น้อยกว่า Devialet กับ Sony อยู่บ้าง
เสียงไมค์ของ AirPods Pro 2 ก็เป็นเสียงไมค์ที่ฟังง่าย แต่ลักษณะเสียงจะเหมือนบี้ ๆ อยู่หน่อย
เทียบกับ Sony WF-1000XM5
เสียงเบสของ Sony WF-1000XM5 ก็ทำได้สนุก เป็นเบสที่ดีกว่า AirPods Pro 2 แต่รายละเอียดและความลึกยังเป็นรอง Gemini 2 อยู่ดี เสียงกลางแหลมก็ทำออกมาดี แต่จะไม่ได้พุ่งเด่นออกมาอย่างที่ Gemini 2 ทำได้แต่ผู้ฟังบางคนก็อาจจะชอบเพราะมันอาจฟังสบายกว่า ทำให้ฟังได้นานกว่า แต่ก็ต้องเป็นคนที่ชอบจุกโฟมด้วยนะครับ เพราะในที่นี้มีแต่หูฟังโซนี่รุ่นนี้ที่มาพร้อมจุกโฟม
การตัดเสียงรบกวนของ Sony ทำได้ใกล้เคียงกับ Gemini 2 ครับ คือตัดได้ค่อนข้างเงียบ เป็นหูฟัง 2 ตัวที่ตัดเสียงรบกวนได้มากในตลาดตอนนี้แล้ว แต่เสียงพูดไม่ได้ตัดได้เยอะเท่า AirPods Pro 2
ส่วนเสียงไมค์ของโซนี่ก็ทำได้ประมาณนี้ครับ
สรุป Devialet Gemini II คุ้มไหม
Gemini II เป็นหูฟังที่คุณภาพสูงแถวหน้ารุ่นหนึ่งในตลาดหูฟังแบบ TWS ตอนนี้เลยนะครับ กับเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ไล่เรียงสูง-กลาง-ต่ำกันแบบจัดเต็ม โดยเฉพาะคนชอบฟังเสียงเบส รู้สึกดีกับหูฟังรุ่นนี้แน่นอน การเชื่อมต่อก็รองรับการต่อพร้อมกัน 2 อุปกรณ์พร้อมกันแล้ว ทำให้ใช้งานง่ายขึ้นอีกเยอะ และไมโครโฟนก็ดีอันดับต้น ๆ ของตลาดเช่นกัน แถมรับประกัน 2 ปีด้วย แต่สุดท้ายจุดที่ทำให้ฉุกคิดคือราคาที่รุ่นนี้กระโดดมาที่
Devialet Gemini II สีดำ Matte Black และสีขาว Iconic White ราคา 16,590 บาท
Devialet Gemini II สีทอง Opera De Paris ราคา 24,590 บาท
ซึ่งก็เป็นราคาพรีเมี่ยมของตลาดเลย เอาเป็นว่าถ้าจ่ายไหว หูฟังรุ่นนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนครับ
The post รีวิว Devialet Gemini II ขึ้นแท่นหูฟังตัวท็อปของวงการ เบสลึกที่สุดเท่าที่เคยลอง! appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/