96% เป็นรองแค่ MISSION: IMPOSSIBLE – FALLOUT (2018) ที่ได้ไป 97% ยังมีสถิติและเรื่องราวน่าสนใจอีกมากเบื้องหลังหนัง Top Gun: Maverick ที่เราคัดเรื่องเด็ด ๆ มาให้อ่านกัน แต่เหมาะสำหรับคนที่ดูหนังแล้วเท่านั้นนะครับ
The post รวมเกร็ดเบื้องหลังน่าสนใจจาก Top Gun: Maverick appeared first on #beartai.
Top Gun: Maverick หนังฟอร์มใหญ่เรื่องล่าสุดของ ทอม ครูซ (Tom Cruise) พระเอกตลอดกาลของฮอลลีวูดกำลังเดินหน้าสร้างปรากฏการณ์ต่าง ๆ อยู่ขณะนี้ ทั้งตัวเลขเปิดตัวจากสุดสัปดาห์ที่พุ่งไปถึง 150 ล้านเหรียญ กลายเป็นหนังเรื่องแรกของครูซที่ทำเงินได้ในระดับนี้ ด้านเสียงนักวิจารณ์หนังก็คว้าสถานะมะเขือเทศสดไปที่คะแนน 96% เป็นรองแค่ MISSION: IMPOSSIBLE – FALLOUT (2018) ที่ได้ไป 97% ยังมีสถิติและเรื่องราวน่าสนใจอีกมากเบื้องหลังหนัง Top Gun: Maverick ที่เราคัดเรื่องเด็ด ๆ มาให้อ่านกัน แต่เหมาะสำหรับคนที่ดูหนังแล้วเท่านั้นนะครับ
แฟน ๆ ของ ทอม ครูซ น่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า นอกจากครูซจะพิสมัยการขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว เขายังหลงใหลในการบินอย่างมากถึงขั้นไปสอบจนได้ใบอนุญาตการบิน และแน่นอนซูเปอร์สตาร์ระดับนี้ก็ต้องมีเครื่องบินเป็นของตัวเอง เป็นเครื่องบินจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 รุ่น P-51 Mustang ที่ครูซซื้อมาในราคา 4 ล้านเหรียญ แล้วเขาก็แอบเอามาเข้าฉากด้วย แต่ว่ามีใครสังเกตเห็นกันบ้างไหม
Top Gun ภาคแรกนั้นออกฉายเมื่อปี 1986 เป็นผลงานกำกับของ โทนี่ สก็อตต์ ผู้กำกับมากฝีมือคนหนึ่งของฮอลลีวูด นอกเหนือจาก Top Gun แล้วผลงานเด่น ๆ ของสก็อตต์ก็อย่างเช่น Days of Thunder (1990), Crimson Tide (1995), Man on Fire (2004) และเรื่องสุดท้ายที่หลายคนยังจำกันได้ก็คือ Unstoppable (2010) น่าเสียดายที่สก็อตต์ตัดสินใจกระโดดสะพานฆ่าตัวตายเมื่อปี 2012 เพื่อหนีจากโรคมะเร็ง ก่อนตายนั้น สก็อตต์อยู่ในช่วงที่กำลังเตรียมการสร้าง Top Gun ภาคต่ออยู่แล้วด้วย Top Gun: Maverick จึงเป็นหนังที่ได้อุทิศความสำเร็จส่วนหนึ่งให้กับ โทนี่ สก็อตต์เป็นที่รู้กันดีว่านักแสดงระดับบิ๊ก มักจะมีอิทธิพลต่อหนังอย่างมาก บางทีมากกว่าผู้กำกับเสียด้วยซ้ำ นอกเหนือจาก วิน ดีเซล ก็มี ทอม ครูซ นี่ล่ะ ที่เป็นที่รู้กันดีว่ามีบทบาทต่อหนังอย่างมาก และในเรื่องนี้ก็เช่นกัน ครูซวางข้อกำหนดมาเลยว่า ในการถ่ายทำเรื่องนี้จะต้องใช้ภาพจริงให้มากที่สุด และใช้ CGI ให้น้อยที่สุด ฉะนั้นภาพนักบินในค็อกพิตที่เราเห็นกันแทบทั้งเรื่องนั้น ล้วนเป็นภาพของนักแสดงที่นั่งอยู่ในค็อกพิตขณะเครื่องบินอยู่กลางอากาศจริงเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นจึงเป็นข้อบังคับที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่นักแสดงจะต้องผ่านการฝึกซ้อมรับแรง G (G-force training) กันอย่างหนัก เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับต่อแรง G ระหว่างการบินได้จริง ๆนักแสดงต้องนั่งอยู่หน้ากล้องขณะนั่งอยู่ในค็อกพิตพอครูซวางข้อกำหนดขึ้นมาแบบนั้น ทีมงานจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการถ่ายทำขึ้นมาใหม่ เพราะช่างภาพไม่สามารถเข้าไปอยู่ในค็อกพิตด้วยได้ นั่นทำให้นักแสดงแต่ละคนจะต้องถ่ายภาพตัวเองทุกกระบวนการ เริ่มตั้งแต่แต่งหน้าตัวเอง เปิดปิดกล้องเอง จัดไฟเอง ติดตั้งเครื่องบันทึกเสียงเอง ส่วนผู้กำกับก็นั่งคอยนอนคอยเป็นชั่วโมงรอให้เครื่องบินลง แล้วนักแสดงก็เอาเทปบันทึกภาพมาส่งให้ผู้กำกับเปิดดู พอเจอว่ามีตรงไหนต้องปรับแก้ถ่ายใหม่ นักแสดงก็ต้องกลับไปขึ้นบินใหม่อีกรอบ ช่างเป็นกองถ่ายที่ทุลักทุเลเสียจริงนอกจากเป็นนักแสดงนำแล้ว ทอม ครูซ ยังแบกพ่วงหน้าที่ที่ปรึกษากองถ่ายด้วยในฐานะที่เขาเป็นนักบินผู้มีใบอนุญาต ครูซก็เลยร่างหลักสูตรนักบินขึ้นมาจริง ๆ นักแสดงจะต้องเขาคอร์สฝึกบินจริง ๆ เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบินเครื่อง F-18ไมลส์ เทลเลอร์ ในบท รูสเตอร์ไมลส์ เทลเลอร์ (Miles Teller) เล่าว่า เขาเห็นเพื่อนนักแสดง 3 คน ที่อาเจียนทุกวันในฉากที่ต้องขึ้นบินจริงไมลส์ เทลเลอร์ ยังเล่าอีกว่า นักแสดงที่รับบทนักบินในหนังได้สิทธิ์ในการตั้งชื่อฉายาตัวเอง ตัวเขานั้นเลือกชื่อ ‘Rooster’ ซึ่งแปลว่า ไก่ตัวผู้ เพื่อให้สอดคล้องกับ ‘Goose’ ฉายาของพ่อเขาในเรื่อง ซึ่งแปลว่า ห่าน เป็นสัตว์ในวงศ์เดียวกันTop Gun: Maverick เป็นหนังภาคต่อที่ทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกยาวนานถึง 36 ปี มีหนังภาคต่อที่ทิ้งช่วงยาวนานกว่านี้ก็คือ Return to Never Land (2002) เป็นภาคต่อของ Peter Pan (1953)
ห่างกันถึง 49 ปีทอม ครูซ และ วัล คิลเมอร์ จาก Top Gun (1986)มีเพียง ทอม ครูซ และ วัล คิลเมอร์ เพียง 2 คนเท่านั้น ที่เป็นนักแสดงดั้งเดิมจากภาคแรก ระหว่างที่ถ่ายทำนี้ คิลเมอร์ในวัย 62 ปี กำลังเผชิญกับอาการมะเร็งคอขั้นรุนแรงถึงขนาดพูดไม่ได้ ซึ่งบท ไอซ์แมน ในหนังก็เขียนให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันของคิลเมอร์ แม้ว่าในหนังนั้นเราได้เห็นไอซ์แมนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอยู่ประโยคหนึ่ง แต่คิลเมอร์ตัวจริงนั้นพูดไม่ไหวแล้ว เสียงที่เราได้ยินในหนังนั้นเป็นเสียงที่เทคนิคทางด้านเสียงสร้างขึ้น โดยใช้เสียงเดิมของคิลเมอร์จากหนังเรื่องก่อน ๆ มาประกอบรวมเข้าด้วยกันฉากหนึ่งในภาคแรกที่เป็นที่จดจำจากคนดูก็คือฉากเหล่านักบินถอดเสื้อโชว์กล้ามเล่นอเมริกันฟุตบอลชายหาด เลยกลายเป็นฉากบังคับที่ภาคนี้ก็ต้องมี และเป็นข้อบังคับที่บรรดานักแสดงชายต้องรับความตึงเครียดกันอย่างมาก ที่จะต้องฟิตร่างกายให้เฟิร์มสุดเพื่อฉากนี้ ถึงกับมีการแข่งฟิตร่างกายกันระหว่างนักแสดงชาย เกล็น โพเวลล์ (Glen Powell) ผู้รับบทเป็น Hangman เล่าว่านักแสดงชายวิตกกังวลกันอย่างมาก กับการที่จะต้องฟิตร่างให้พร้อมสำหรับฉากโชว์ท่อนบนนี้ ถึงกับทำให้ห้องยิมนี่แน่นทั้งวันทั้งคืนเลย พอถ่ายฉากนี้เสร็จ ทุกคนที่ทานอาหารสุขภาพกันเพื่อฉากนี้กันมายาวนาน ก็ได้ทีปลดปล่อยกันเต็มที ซัดเบียร์และมิลค์เชคกันจุใจทันทีเลยในคืนนั้น แล้วข่าวร้ายก็มาถึงในอีกสัปดาห์ต่อมา เมื่อครูซดูเทปฉากนี้แล้วไม่พอใจ สั่งให้ทุกคนกลับมาถ่ายซ่อมกัน นั่นทำให้ทุกคนต้องกลับเข้าโรงยิมกันทั้งวันทั้งคืนอีกครั้งเกล็น โพเวลล์ ในบท Hangmanอย่างที่เราเห็นกัน บทเด่นในเรื่องนี้รองจาก ‘มาเวอริค’ ก็คือบท ‘รูสเตอร์’ มีนักแสดง 3 คน ที่เข้ารอบสุดท้ายเพื่อชิงบทนี้คือ นิโคลัส เฮาลต์ (Nicholas Hoult), เกล็น โพเวลล์ (Glen Powell) และ ไมลส์ เทลเลอร์ (Miles Teller) หนึ่งในขั้นตอนชิงชัยเพื่อบทนี้ ทั้งสามจะต้องบินไปหา ทอม ครูซ ที่บ้าน เพื่อทดสอบบทว่าเคมีเข้ากับครูซไหม ซึ่งสุดท้ายแล้ว ไมลส์ เทลเลอร์ ก็ได้บทนี้ไปครอง แต่ทั้งครูซและบรัคไฮเมอร์ก็ยังประทับใจในตัวของโพเวลล์ ไม่อยากที่จะสูญเสียไป ทีมงานจึงตัดสินใจสร้างตัวละคร Hangman เพิ่มขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะบท ‘เพนนี เบนจามิน’ ของ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ (Jennifer Conelly) นั้น แม้ไม่ได้ปรากฏตัวในภาคแรก แต่ได้มีการเอ่ยถึง ตอนที่กู๊สเล่าถึงอดีตของมาเวอริคว่าเขาเคยคบหากับลูกสาวของนายพลท่านหนึ่งโจเซฟ โคซินสกี้ กับบรรดานักแสดงรุ่นใหม่เหตุผลหนึ่งที่ โจเซฟ โคซินสกี้ (Joseph Kosinski) เหมาะสมที่จะมาเป็นผู้กำกับ Top Gun: Maverick ก็เพราะ เขาเคยกำกับ TRON: Legacy หนังภาคต่อที่ทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกถึง 28 ปี พอมากำกับเรื่องนี้ก็เป็นหนังภาคต่อที่ทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกถึง 36 ปี
เมื่อปี 2019 รายการ Entertainment Tonight ได้สัมภาษณ์ เคลลี แม็กกิลลิส (Kelly McGillis) นางเอกภาคแรก ซึ่งเธอได้เปิดเผยว่า ไม่เคยได้รับการติดต่อจากทีมงานให้กลับไปร่วมงานในภาคต่อนี้เลย ทีมงานก็ยังอุตส่าห์ถามต่ออีกว่า เธอคิดว่าเพราะอะไรทำไมทีมงานถึงไม่ติดต่อมา แม็กกิลลิสก็ตอบว่า อาจจะเพราะตอนนี้นั้นเธอทั้งอ้วนแล้วก็แก่ตัวลงไปมาก แต่ก็เป็นไปตามวัยที่ควรจะเป็น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หนังต้องการเห็น
ฉากที่เราเห็นมาเวอริคและเพนนีขับเรือยอชต์ด้วยกันนั้น เป็นเรือรุ่น J/125 ความสูง 12.4 เมตร ที่สำคัญคือฉากนี้ไม่ได้ใช้สตันท์ แต่ ทอม ครูซ และ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี บังคับเรือกันเองจริง ๆ ท่ามกลางคลื่นลมแรงในอ่าวซานฟรานซิสโกตามบทหนังเขียนไว้ว่าบ้านที่เพนนีอยู่กับลูกสาวในหนังภาคนี้คือบ้านเดิมที่ชาร์ลี นางเอกภาคที่แล้วอยู่มาก่อน แต่ในการถ่ายทำจริงนั้นเป็นบ้านคนละหลัง เพราะบ้านเดิมที่ชาร์ลีอยู่นั้นถูกรื้อไปแล้ว ปัจจุบันกลายเป็นร้านขายพาย ยังมีอีกจุดหนึ่งที่นางเอก 2 ภาคนี้มีรสนิยมเหมือนกันก็คือรถ Porsche ชาร์ลีขับรถ Porsche รุ่นคลาสสิกเปิดประทุน ส่วนเพนนีขับรุ่น 911F-14แม้ว่าในหนังจะไม่เอ่ยว่า แผ่นดินศัตรูที่เหล่านักบิน Top Gun ไปโจมตีในเรื่องนี้คือประเทศอะไร แต่ก็พอคาดเดากันได้ว่าเป็น ‘อิหร่าน’ อ้างอิงจากการเอ่ยถึงเครื่องบิน F-14 ที่มาเวอริคขโมยแล้วบินกลับเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ เพราะว่านอกจากสหรัฐอเมริกาแล้วมี อิหร่านเพียงประเทศเดียวที่ซื้อ F-14 ไปจากสหรัฐฯ จำนวน 80 ลำเมื่อปี 1978 ในวันนั้นอิหร่านและสหรัฐฯ ยังเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน ในสหรัฐฯ นั้นไม่มีเครื่องบิน F-14 คงเหลือปฏิบัติการอีกแล้ว เพราะถูกสั่งทำลายทั้งหมดในปี 2006 คงเหลือบางลำที่เก็บไว้โชว์ในพิพิธภัณฑ์ แต่อิหร่านยังคงใช้ F-14 ต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้Sukhoi Su-57 เราได้ยินตัวละครในหนังเอ่ยถึงเครื่องบินศัตรูบ่อย ๆ ว่า เป็นเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 ที่กองทัพสหรัฐฯ ค่อนข้างยำเกรงกันพอควร เครื่องบินรุ่นที่ 5 ที่ว่านี้ก็คือ Sukhoi Su-57 อ่านว่า “ซุคฮอย” เป็นชื่อของบริษัทสร้างอากาศยานของกองทัพรัสเซีย Sukhoi Su-57 เป็นเครื่องบินรบของกองทัพรัสเซียรุ่นแรก ที่ออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีสเตลธ์ หรือ เครื่องบินรบล่องหน มีความสามารถเทียบเท่ากับเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ของสหรัฐอเมริกา คือ เอฟ-22 แร็พเตอร์ และเอฟ-35 ไลท์นิ่ง 2ใน Top Gun (1986) ชาร์ลีได้บอกกับมาเวอริคว่า “เราสองคนต่างก็รู้กันดีว่าคุณจะยังไม่มีความสุขหรอก จนกว่าคุณจะบินได้ถึง มัค 10 ในขณะที่ผมคุณลุกเป็นไฟ” นั่นจึงทำให้เราเห็นฉากเปิดเรื่องใน Top Gun:Maverick ที่มาเวอริคได้บินทดสอบเครื่องบินรุ่นใหม่ด้วยความเร็วที่มัค 10ฉากแรกในบาร์ของเพนนี เราได้เห็น Hangman เดินมากดตู้เพลง เขากดหมายเลข 8 แล้วก็ตามด้วย 6 มีคนคาดเดากันไปว่า เลข 86 นี้ ผู้สร้างต้องการสื่อถึงปี 1986 ปีที่หนังภาคแรกออกฉาย แล้วเลข 86 ยังหมายถึง “eighty-sixed” โค้ดที่เป็นที่รู้กันในบาร์อเมริกันว่าถ้าใครโดนโค้ดนี้จะต้องโดนโยนร่างออกไปจากร้าน ซึ่งในเรื่องมาร์เวอริคโดนโยนเพราะบัตรเครดิตเขารูดไม่ผ่าน
คริสโตเฟอร์ แม็กควารี (Christopher McQuarrie) มือเขียนบทและผู้กำกับคู่บุญของ ทอม ครูซ เคยได้รับมอบหมายให้เขียนบท Top Gun: Maverick เมื่อปี 2010 ซึ่งบทในเวอร์ชันของแม็กควารีนั้นเขียนให้ มาเวอริค เป็นเพียงแค่บทสมทบเท่านั้น
จบแล้วครับ หวังว่าจะได้ข้อมูลเด็ด ๆ จากบทความนี้ไปคุยกันต่อกับเพื่อนได้นะครับ
The post รวมเกร็ดเบื้องหลังน่าสนใจจาก Top Gun: Maverick appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/