All of Us Are Dead เรื่องย่อ: “เราทุกคนจะตายกันหมด ไม่มีหวังแล้ว” โรงเรียนกลายเป็นสมรภูมิเลือดและเพื่อนของเรากลายเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุด แล้วใครจะหนีรอดออกไปได้ จะฆ่าหรือจะยอมถูกฆ่า โรงเรียนปิดแล้วเนื่องในวันล้างโลก
The post [รีวิวซีรีส์] All of Us Are Dead: หรือซอมบี้เกาหลีเสื่อมมนต์ appeared first on #beartai.
เรื่องย่อ: “เราทุกคนจะตายกันหมด ไม่มีหวังแล้ว” โรงเรียนกลายเป็นสมรภูมิเลือดและเพื่อนของเรากลายเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุด แล้วใครจะหนีรอดออกไปได้ จะฆ่าหรือจะยอมถูกฆ่า โรงเรียนปิดแล้วเนื่องในวันล้างโลก
‘All of Us Are Dead’ หรือ ‘มัธยมซอมบี้’ เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่น่าจับตามองของเน็ตฟลิกซ์เกาหลี ด้วยองค์ประกอบที่การันตีความนิยมอย่างเช่นรุ่นพี่ที่มีมาก่อนหน้า ทั้งเป็นการใช้ภาพจำซอมบี้กายกรรมที่วิ่งเร็วบ้าคลั่ง (และชอบบิดตัวรวมถึงทำสะพานโค้งอันเป็นเอกลักษณ์) ที่ต้องยอมรับว่าเกาหลีทำซอมบี้แนวนี้จนกลายเป็นของตนเองได้แข็งแรงมากทั้งที่ไม่ใช่คนต้นคิดด้วยซ้ำ จากทั้งหนังอย่าง ‘Train to Busan’ (2016) หรือซีรีส์ ‘Kingdom’ (2019-2021) ซีรีส์เรื่องนี้ก็มาตอกย้ำภาพให้แข็งแรงขึ้นอีก
ทั้งยังเป็นการนำเนื้อหามาจากเว็บตูนผลงานของ จูดองกึน (Joo Dong-geun) ที่ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า ‘ตอนนี้ โรงเรียนของเรา..’ ซึ่งมีฐานแฟนการันตีความนิยมมาก่อนแล้ว คล้ายกับซีรีส์ ‘Sweet Home’ (2020) หรือ ‘Hellbound’ (2021) ที่ต่างเรียกกระแสความสนใจได้มากตั้งแต่แรกเช่นกัน
เอาจริงแค่ที่ว่ามาก็พอแล้วในการสร้างความอยากดู โดยไม่ต้องไปใช้ดารานักแสดงดัง ๆ เลย ทำให้ซีรีส์กล้าลองนักแสดงวัยรุ่นอัดเต็มพิกัดแบบให้แบกเรื่องได้ ทั้งดัน พักจีฮู (Park Ji-Hoo) ที่เคยมีผลงานในเน็ตฟลิกซ์และรับบทนำในหนังมากรางวัลอย่าง ‘House of Hummingbird’ (2018) มารับบท อนโจ ประกบกับ ยุนชานยอง (Yoon Chan-Young) ในบท ชองซาน ที่พอบอกได้ว่าเป็นคู่นำหลัก 1 ใน 2 คู่เลยก็ว่าได้ ในขณะที่ฝั่งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เน้นนักแสดงเบอร์ใหญ่แต่ใช้ดาราที่มีฝีมือเคยผ่านงานหนังและซีรีส์มาเล่นช่วยประคองหนังในพาร์ตฝั่งผู้ปกครองและฝั่งการเมืองการทหารได้ลงตัว
ซีรีส์มีความยาวมากถึง 12 ตอน ตอนละเกือบ ๆ 1 ชั่วโมง และปูเรื่องในช่วงแรกได้น่าสนใจดี โดยขยายความจากเรื่องการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนจน หนึ่งในผู้ปกครองเด็กที่ถูกรังแกทนดูไม่ได้ที่ลูกอยากฆ่าตัวตายมากกว่าอยากจะลุกขึ้นสู้ จึงช่วยเหลือด้วยการฉีดสารกระตุ้นที่สกัดจากหนูทดลองที่จนตรอกให้กับลูกชาย จยกลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติ ที่เราคุ้นเคยอย่างซอมบี้เพื่อไปล้างแค้นโลกที่มันบิดเบี้ยวนี้
จริง ๆ มุมเรื่องตรงนี้น่าสนใจ ส่วนการถกเถียงและชูปมขัดแย้งเชิงศีลธรรมของตัวละครครูวิทยาศาสตร์และเป็นผู้ปกครองที่มีลูกถูกรังแกอย่าง ครูอี กับตำรวจนั้นเป็นช่วงที่ดูสนุกและจริงจังที่สุดในซีรีส์แล้ว ในขณะที่การแสดงภาพของการกลั่นแกล้งในโรงเรียนจากแก๊งหัวโจกที่แสดงความสัมพันธ์แบบผู้ล่าและเหยื่อในโรงเรียนเองก็ปูได้อย่างเข้มข้น เช่นในฉากที่ หนึ่งในตัวเอกอย่าง ซูฮยอก (รับบทโดย พักโซโลมอน (Park Solomon) เข้าไปช่วยเหลือพวกที่โดนรังแกแต่กลายเป็นเหล่าเหยื่อยอมถูกรังแกต่อเพราะกลัวจะโดนหนักข้อขึ้นในคราวหลัง ก็แสดงความเป็นลูกไก่ในกำมือและการปลูกฝังทัศนคติแบบทาสในโรงเรียนได้น่าสนใจ
แต่พอซีรีส์เข้าฝั่งเนื้อเรื่องของปมรักหลายเส้าของพวกกลุ่มนักเรียน เพื่อขยายดราม่าให้พัฒนาเรื่องราวไปพร้อมความโกลาหล กลับพบว่าทำได้ไม่ค่อยน่าสนใจนักอาจเพราะตัวละครหลักถูกสร้างมาแบบพวกเอื่อยเฉื่อย ไม่ค่อยแสดงออก หรือทื่อซื่อ จนมันขยับดราม่าไม่ค่อยได้มากนัก บางช่วงทำเอานึกถึงซีรีส์นักเรียนจากไต้หวันในแง่ที่ไม่ค่อยพัฒนาเรื่องหลักเลยด้วยซ้ำ
และแม้จะมีเวลามากมายในการเล่าเรื่องจนขยายเส้นเรื่องไปได้ทั้งในโรงเรียนและภายนอกโรงเรียน มีตัวละครหลายกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วม สามารถปั้นดราม่าหรือฉากที่น่าจดจำได้มากมาย แต่เอาจริงแล้วมันก็พอจูงเราให้สนใจได้ถึงประมาณตอนที่ 5 หรือเกือบครึ่งทาง ก่อนจะเริ่มรู้สึกว่าตัวซีรีส์ไม่ได้พาทิศทางใหม่ ๆ ให้น่าจดจำเลย เมื่อความตื่นตาตื่นใจในเหล่าซอมบี้เริ่มเอียนตา (ถึงช่วงหนึ่งแทบรู้สึกว่าเลิกสะพานโค้งสักทีเถอะมันออกจะน่าขำมากกว่าแล้ว) และฝั่งดราม่าก็ไม่มีความน่าสนใจมากพอ ภาพรวมของซีรีส์จึงเป็นความรู้สึกว่าใช้เวลาได้ไม่คุ้มค่าในการเล่าเรื่อง และขาดการพัฒนากราฟความสนุกที่ดี กลายเป็นว่ายิ่งดูยิ่งรู้สึกร่วมน้อยลงเรื่อย ๆ
และหลายครั้งตัวซีรีส์ก็ไม่สามารถก้าวข้ามความน่าหงุดหงิดในการตัดสินใจของตัวละครที่ดูไม่สมจริงในแต่ละสถานการณ์ ความเฉยชาเกินปกติ หรือแม้แต่ลำดับเวลาในเรื่องก็เหมือนจะดูสับสนเมื่อมีการขยายความออกไปนอกพื้นที่โรงเรียน ระดับการรับมือกับเรื่องราวดูไม่ค่อยสมจริงนักไม่มากไปก็ดูน้อยไปในหลายครั้ง รวมถึงการวางกฎของซอมบี้ในเรื่องก็ชวนสับสน ในบางช่วงการติดต่อดูง่ายดายแค่เลือดโดนแผลก็ติด แต่บางช่วงเลือดท่วมใส่หน้าใส่ตาดันไม่ติด หรือการฆ่าซอมบี้เหมือนจะต้องใช้แทงคอ ยิงหัวก็ไม่ตาย แต่บางช่วงยิงหัวก็ตายได้ หาความแน่นอนไม่ได้
ปัญหาหลัก ๆ หนึ่งที่สำคัญมากคือซีรีส์ขาดตัวร้ายที่ดีพอ ปมเรื่องการกลั่นแกล้งที่ถูกปูพื้นและเตรียมขยายความได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังได้สร้างตัวร้ายหลักอดีตเด็กเกเรที่กลายพันธุ์ ฆ่าไม่ตาย มีสติปัญญาแบบคน แถมมีแรงแค้นเต็มเหนี่ยว ดูมีศักยภาพทำให้เรื่องราวกดดันฝั่งตัวเอกได้มาก แต่กลับเป็นว่าตัวร้ายดันมุ่งหมายจะฆ่าตัวเอกอย่าง ชองซาน อยู่คนเดียวเท่านั้นจนกรอบจำกัดความน่ากลัวลงไป ลองนึกภาพว่าตัวร้ายเหนือมนุษย์นี้ฉลาดในการใช้ประโยชน์ที่ตัวเองจะไม่ถูกซอมบี้จู่โจมแล้ววางแผนฆ่ากลุ่มตัวเอกทั้งหมด มันจะน่าสนุกขนาดไหน
ในขณะเดียวกันฝั่งตัวละครสีเทาอย่างเด็กนักเรียนหญิงที่เป็นเหยื่อถูกกลั่นแกล้งอย่างหนัก และก็ได้ความสามารถมาเช่นกันในภายหลัง กลับมีเส้นเรื่องที่ล้างแค้นความไม่ยุติธรรมที่เธอเผชิญแบบเรียบมาก ๆ ทั้งที่การดึงตัวละครนี้ไปฟาดฟันกับตัวร้ายหลักหรือกลุ่มตัวเอกแล้วเกิดสงคราม 3 ฝ่ายเป็นอะไรที่ผู้ชมน่าจะได้เพลิดเพลินและยกระดับซีรีส์ได้มาก แต่ซีรีส์ก็เลือกการเดินเรื่องที่มันไม่ค่อยสนุกแทนอย่างน่าเสียดาย
สรุปแล้ว ‘All of Us Are Dead’ เป็นซีรีส์ที่เอามาแก้ขัดช่วงที่ขาดหนังหรือซีรีส์แนวซอมบี้เกาหลีได้บ้าง แต่ยังขาดเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ บางตัวละครและหลายฉากมีกลิ่นไอของการลอกงานหนังหรือซีรีส์ก่อนหน้าในแนวนี้มาชัดเกินไปเช่นตัวละคร นัมรา (รับบทโดย โชอีฮยอน (Cho Yi-Hyun) ที่แทบจะเอาคาแรกเตอร์ ฮิโรมิ ใน ‘I Am a Hero’ (2015) มาใช้เลยก็ว่าได้ และว่าถึงหนังที่สนุกพอ ๆ กันอย่าง ‘#Alive’ (2020) ที่สนุกกลาง ๆ ก็ยังมีอะไรที่แตกต่างให้น่าจดจำมากกว่าเสียอีก
The post [รีวิวซีรีส์] All of Us Are Dead: หรือซอมบี้เกาหลีเสื่อมมนต์ appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/