พระอนุวัตน์ราชนิยม (ฮง เตชะวณิช) หรือ ยี่กอฮง เจ้าสัวหวย ก.ข.
ท่านเป็นชาวจีนแต้จิ๋วที่ถือกำเนิดในมณฑลกวางตุ้งในช่วงปี พ.ศ.2394 แซ่ “แต้” และมีนามว่า “หงี่ฮง” บ้างก็ว่าท่านนั้นถือกำเนิดในประเทศไทย ตรงแถวสี่กั๊กพระยาศรี โดยบิดามีอาชีพค้าผ้า ต่อมาเมื่อบิดาของท่านได้เสียชีวิตลง ท่านได้เดินทางไปอยู่กับญาติและศึกษาต่อที่ประเทศจีน จนอายุ 16 ปีจึงเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง ช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยตั้งปณิธานว่าจะมาประกอบอาชีพทำการค้าขายในสยามประเทศจนกว่าชีวิตจะหาไม่
การกลับมาพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยของท่านครั้นนั้นท่านได้เลือกไปอาศัยและค้าขายอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วได้สมรสเป็นลูกเขยของคหบดีย่านตลาดสันป่าข่อย จนท่านอายุได้ประมาณ 30 ปีท่านได้โดยล่องแพนำสินค้าลงมาค้าขายอยู่แถวบริเวณหน้าจวนของท่านเจ้าคุณโชฎึกราชเศรษฐี แถววัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เมื่อค้าขายได้กำไรมีทรัพย์ในระดับหนึ่งแล้วท่านจึงตัดสินใจมาตั้งรกรากทำการค้าอยู่ที่พระนครโดยถาวร โดยเลือกทำเลปลูกตึกอยู่ตรง สน.พลับพลาไชยในปัจจุบัน
ท่านยี่กอฮงได้ประกอบกิจการค้าหลายอย่าง แต่ที่ได้สร้างฐานะให้ท่านจนรุ่งเรืองก็คือ การเป็นเจ้าภาษี โรงต้มกลั่นสุรา โรงบ่อนเบี้ย โรงหวย กอขอ ท่านยี่กอฮงจึงได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้จัดการดำเนินการควบคุมบ่อนเบี้ยหวย ก ข โดยให้ทำการออกหวยวันละ 2 ครั้งในช่วงสายและเย็น ซึ่งท่านก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีเยี่ยม สามารถหาเงินส่งส่วยเข้าท้องพระคลังหลวงได้เป็นจำนวนมาก
ตอนที่ท่านรับหน้าที่คุมบ่อนเบี้ยหวยนั้นกล่าวกันว่า ท่านได้ให้ความสนใจในเรื่องวิชาคาถาอาคมของไทยเราเป็นอย่างมาก จนเป็นที่กล่าวขานกันว่าท่านนั้นเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า ในคราวที่ท่านคุมบ่อนฮวยหวยที่สามยอดนั้น ท่านก็นำวิชาอาคมที่เล่าเรียนมาใช้ป้องกันสะกดคู่แข่งหรือฝ่ายตรงข้าม ที่จะเข้ามาใช้เวทมนต์คดโกงหรือเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับบ่อนของท่านอยู่บ่อยครั้ง โดยได้กระทำพิธีอย่างถูกต้องตามตำราอย่างสมบูรณ์ ได้รับการกล่าวขานกันว่าอย่าคิดมาโกงหรือใช้คาถาในบ่อนของท่านอย่างเด็ดขาดเพราะจะใช้ไม่ได้ผล จนทำให้กิจการบ่อนฮวยหวยของท่านเจริญรุ่งเรืองอย่างหาใครเทียบไม่ได้เลยในสมัยนั้น
ท่านได้สร้างสาธารณประโยชน์ไว้อย่างมากมาย อาทิเช่น ถนน, โรงเรียนเผยอิง, ศาลเจ้าเก่าถนนทรงวาด, ศาลเจ้าไต้ฮงกง, ก่อสร้างท่าน้ำฮั่วเซี้ยม, ริเริ่มก่อตั้งโรงพยาบาลเทียนฟ้า และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งมูลนิธิปอเต็กตึ้งขึ้น โดยชักชวนเหล่าพรรคพวกเพื่อนฝูงในสมัยนั้นเช่นตระกูลหวั่งหลี ล่ำซำ และ ฯลฯ มาร่วมกันสร้างมูลนิธิช่วยเหลือผู้ยากไร้ตกทุกข์ได้ยากและสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่เด็กที่เรียนดีแต่ยากไร้ อีกทั้งยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการรณรงค์หาเงินเข้าสภากาชาดไทยอย่างมากมาย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบความและทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นรองหัวหมื่น พระอนุวัฒน์ราชนิยม และยังพระราชทานนามสกุลเพื่อเป็นบำเหน็จความดีความชอบและเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลให้ว่า “เตชะวนิช” และในรัชกาลที่ 6 เมื่อมีการออกพระราชบัญญัติเลิกอากรบ่อนเบี้ย และ หวย กอขอ ท่านจึงได้หันไปประกอบกิจการค้าอื่นๆ อาทิ เรือเดินทะเลไปเมืองจีน ทำโรงสีข้าวและอื่นๆ ท่านยี่กอฮงก็ได้ตั้งอกตั้งใจทำการค้ามากมายหลายอย่าง ทั้งค้าขายกับคนไทยด้วยกันและกับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาค้าขายกับประเทศไทย จนมีโรงสีชื่อ “เคียมฮั่ว” เป็นของตัวเองในเวลานั้น
อันนามว่า “ยี่กอฮง” นั้นท่านได้มาเมื่อครั้นเข้าร่วมขบวนการลับแห่งหนึ่งที่ต่อต้านราชวงศ์ชิง – กอบกู้ราชวงศ์หมิง ด้วยบุคลิกลักษณ์การเป็นผู้นำของท่าน ทำให้ท่านก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งหัวหน้ารอง เพราะคำว่า “ยี่กอ ” จะมักใช้เรียกผู้ที่ตนนับถือในฐานะพี่รอง แม้ภายหลังสมาคมลับแห่งนี้ได้มีการเปลี่ยนพี่ใหญ่ หรือหัวหน้าใหญ่ใหม่ ท่านก็ไม่ขอรับตำแหน่งพี่ใหญ่ ยังคงความเป็นพี่รองต่อไป เมื่อครั้น ดร.ซุน ยัดเซ็น นักปฏิวัติแห่งสาธารณรัฐจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยก่อนโค่นล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ ท่าน ดร.ซุนได้มารู้จักสนิทสนมกับท่านยี่กอฮงเป็นอย่างมาก จนถึงกับขนานนามท่านยี่กอฮงว่าเป็น “ตี๊ย่ง” หรือ “ผู้มีสติปัญญาความกล้าหาญมาก”
ไม่เพียงแต่ท่านจะได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางในสยามประเทศเท่านั้น ตามประวัติเล่ากันว่าเดิมในยุคนั้นท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางแมนจู ขุนนางไต้หวันและขุนนางฝรั่งเศสด้วย รวมท่านได้เป็นขุนนางถึง 4 ประเทศในช่วงเดียวกัน อันเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลท่านเป็นอย่างมาก
ต่อมาบั้นปลายชีวิตของท่านในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครอง ทำให้ท่านเกิดปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรงจนถูกฟ้องล้มละลาย ทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึดไปเป็นของหลวง รวมทั้งตัวบ้านของท่านด้วย แต่เนื่องจากท่านได้ประกอบคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองไว้เดิมเป็นอันมาก จึงอนุญาตให้ท่านอาศัยอยู่ในบ้านของท่านตรง สน.พลับพลาไชยไปจนตลอดชีวิต
แล้วในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2479 ท่านก็ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบในบ้านหลังนี้รวมสิริอายุ 85 ปี ศพของท่านได้นำกลับไปฝัง ที่สุสานในเมืองปังโคย ประเทศจีน ในปีต่อมาครอบครัวของท่านก็ต้องย้ายออกจากบ้านพลับพลาไชย เนื่องจากหลวงอดุลเดชจรัส ผู้เป็นอธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้นมีความต้องการใช้บ้านของท่านมาเป็นโรงพักกลางแทนโรงพักสามแยกที่ถูกไฟไหม้เสียหายไป จึงทำการรื้อตัวอาคารเดิมทั้งหมดทิ้งลง แล้วสร้างอาคารใหม่ขึ้นมาแทน และสร้างศาลพ่อปู่เจ้ายี่กอฮงไว้บนโรงพักแห่งนี้ด้วย อันเป็นที่เคารพนับถือเป็นอย่างมากของเหล่าตำรวจและประชาชนทั่วไป
ต่อมาได้มีการก่อสร้าง สน.พลับพลาไชยใหม่อีกครั้งและศาลพ่อปู่เจ้ายี่กอฮงก็ยังได้รับการก่อสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2537 ด้วย บนดาดฟ้าชั้น 4 คู่กับสน.พลับพลาไชยให้ได้กราบไหว้ขอโชคลาภกันมาถึงปัจจุบัน
Source: ชมรมประวัติศาสตร์สยาม
(Feed generated with FetchRSS)
Link : Read More
Tags : #ประวัติศาสตร์ #เกร็ดความรู้ #เรื่องเล่า