ผ่านมาแล้วกว่า 2 เดือน หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คิกออฟโครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2564 จนถึงปัจจุบัน (อัพเดต ณ 28 มิ.ย.) มีกิจการที่ได้รับความช่วยเหลือแล้ว 11 ราย
คิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์ที่โอน 941 ล้านบาท จึงดูเหมือนว่ามาตรการดังกล่าวเดินหน้าไปได้ค่อนข้างช้า ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ มีกระแสเรียกร้องจากผู้ประกอบการที่ประสบปัญหา โดยเฉพาะในเซ็กเตอร์ด้านการท่องเที่ยวจำนวนมาก
สิทธิประโยชน์ภาษียังไม่บังคับใช้
โดยในมุมสถาบันการเงิน “ชัยยศ ตันพิสุทธิ์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยกล่าวว่า อุปสรรคที่ทำให้ “พักทรัพย์ พักหนี้” ยังเดินได้ค่อนข้างช้านั้นมีอยู่ประมาณ 3-4 ประการ ได้แก่ ประเด็นแรก ผู้ประกอบการยังรอกฎหมายที่ให้สิทธิทางภาษีของกรมที่ดินบังคับใช้ ซึ่งตรงนี้เป็นหัวใจหลัก เนื่องจากทำให้ธนาคารไม่สามารถพาลูกค้าไปทำธุรกรรมการโอนหลักประกันกับกรมที่ดินได้
โดยหากสามารถปลดล็อกตรงนี้ได้ภายใน 1-1.5 เดือน เชื่อว่ายอดสินทรัพย์ที่โอนในโครงการนี้น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 หมื่นล้านบาท เพราะธนาคารส่วนใหญ่น่าจะมีการอนุมัติลูกค้าเป็นการภายในไปเรียบร้อยแล้ว
ประเด็นสำคัญรองลงมาคือ ลูกค้ายังกังวลเรื่องการซื้อสินทรัพย์คืนในอนาคต เพราะกลัวว่าธนาคารจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้ซื้อสินทรัพย์คืนเมื่อถึงเวลา 3-5 ปี สอดคล้องกับ ประเด็นที่สาม คือ ราคาตีโอนทรัพย์ชำระหนี้ ลูกค้ากังวลเรื่องสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงแต่มีมูลหนี้ต่ำ จึงกลัวธนาคารยึดสินทรัพย์ไปและไม่คืน
ซึ่งเรื่องนี้ธนาคารได้ให้ความเชื่อมั่นลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ลูกค้าบางรายไม่ได้นำสินทรัพย์ที่เป็นสินทรัพย์หลัก (core business) มาเข้าโครงการ แต่นำสินทรัพย์ (noncore) มาเข้าโครงการแทน เช่น ที่ดินเปล่าที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ทำให้ธนาคารไม่สามารถพิจารณาให้ได้ เป็นต้น
อีกประเด็นก็คือ ลูกค้ากังวลว่าสัญญากลางที่จัดทำขึ้นจะไม่เป็นธรรม และไม่เป็นไปตามข้อตกลง โดยธนาคารได้ยืนยันว่าสัญญาที่จัดทำขึ้นเป็นสัญญากลางที่จะต้องได้รับการอนุมัติจาก ธปท.ทุกครั้ง รวมถึงแบงก์ต้องพาลูกค้าทุกรายที่เข้าโครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” ไปให้ธปท.เป็นผู้อนุมัติทุกรายด้วย
“หัวใจหลักจะเป็นเรื่องกฎหมายภาษีที่ยังไม่ได้อนุมัติ ซึ่งต้องรอตรงนี้ หากปลดล็อกได้เชื่อว่าตัวเลขน่าจะวิ่งขึ้นได้ราว2-3 หมื่นล้านบาท อย่างของกสิกรไทยก็มีลูกค้าสนใจเข้าราว 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนข้ออื่น ๆ จะเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือระหว่างลูกค้าและแบงก์ โดยลูกค้าต้องวางใจว่าแบงก์จะไม่ขายสินทรัพย์เขาออก และลูกค้าเองก็ต้องนำสินทรัพย์ใกล้ตัวมาเข้าโครงการ ไม่ใช่เอาสินทรัพย์ไกลตัวมาเข้าโครงการ ซึ่งหากเป็นไปตามนี้เชื่อว่าโครงการน่าจะเดินได้เร็วขึ้น” นายชัยยศกล่าว
เจ้าของธุรกิจไม่มั่นใจตีโอนทรัพย์
“เอกสิทธิ์ พฤฒิพลากร” ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทยกล่าวว่า แม้ว่าโดยทฤษฎีโครงการออกแบบมาค่อนข้างดี โดยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบไม่มีกระแสเงินสด (cash flow) สามารถนำสินทรัพย์มาพักไว้ที่โครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” ได้ โดยได้วงเงินไปชำระหนี้และสามารถซื้อคืนได้ภายใน 3-5 ปี หรือระหว่างทางอาจจะขอเช่าทำธุรกิจต่อได้ ส่วนธนาคารก็ไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)
อย่างไรก็ดี จะเห็นว่ามีลูกค้าจำนวนหนึ่งมีปัญหาในเรื่องของราคาตีโอนทรัพย์ เช่น ลูกค้าทำร้านมา 50 ปี มีมูลค่าทางจิตใจ โดยราคาร้าน 200 ล้านบาท แต่ธนาคารจะตีราคาทรัพย์เท่ามูลหนี้ 100 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคาทรัพย์ ลูกค้าจึงไม่มั่นใจ และในกรณีใช้สิทธิในการเช่าทำธุรกิจต่อจะคิดอย่างไร ดังนั้น ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินใจขอใช้มาตรการอื่น ๆ ไปก่อน เช่น พักชำระหนี้ เป็นต้น
“เรื่องกฎหมายก็เป็นข้อจำกัด แต่อุปสรรคใหญ่ ๆ จะเป็นเรื่องราคาตีโอนทรัพย์ และความกังวลว่าจะถูกยึดทรัพย์เพราะระหว่างที่พักทรัพย์ หากลูกค้าต้องการเช่าต่อ รายละเอียดจะเป็นอย่างไร แล้วคนที่เช่าจะต้องมีการต่อยอดธุรกิจได้ดีกว่าธุรกิจแบบเดิม ๆ จึงจะไปรอดและคุ้มกับค่าเช่าที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น บางคนยอมเจรจาขอใช้มาตรการอื่น หรือพักหนี้ไปก่อนดีกว่า เนื่องจากกลัวเข้าโครงการแล้วจะสูญเสียทรัพย์สินไป”นายเอกสิทธิ์กล่าว
แบงก์ตั้งการ์ด “โรงแรมเถื่อน”
ด้านแหล่งข่าวจากสถาบันการเงินอีกรายสะท้อนว่า นอกจากเรื่องการตีโอนทรัพย์และสิทธิทางภาษีแล้ว ยังมีประเด็นที่ลูกค้าโรงแรมส่วนใหญ่มีปัญหาในเรื่องของใบประกอบธุรกิจ หรือใบอนุญาตทำโรงแรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือมีหลายห้อง แต่ได้มาไม่ครบจำนวนห้อง ซึ่งจะทำให้มีปัญหาเวลาโอนทรัพย์ หรือไม่ได้จัดทำบัญชีชุดเดียว
“สิ่งเหล่านี้เป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่ธนาคารต้องเอามาถือครอง อย่างไรก็ดีการช่วยเหลืออาจจะมีวิธีอื่น ๆ ด้วย เช่นการจัดตั้งกองทุนเหมือนในต่างประเทศที่มีการตั้งกองทุนเพื่อเข้าไปซื้อกิจการ
โดยกำหนดให้กับคนที่เข้ามาลงทุนได้ผลตอบแทน เช่น ในอีก 5-10 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% และคนที่จะเข้ากองทุนเพื่อเอาเงินกู้ไปชำระหนี้ธนาคารจะต้องจ่ายดอกเบี้ยลดต้นลดดอก (flat rate) เฉลี่ยสูงกว่า 4%
โดยในช่วงแรกอาจจะไม่ต้องจ่ายหนี้ พักต้น-พักดอกเบี้ยไปก่อน เมื่อถึงเวลาฟื้นตัวก็สามารถเอาเงินมาคืนกองทุน แต่หากไม่สามารถชำระได้ก็แปลงหนี้เป็นทุน ส่วนคนที่เป็นผู้บริหารกองทุนจะได้รับค่าบริหาร 1.5% ซึ่งแบบนี้น่าจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสม” แหล่งข่าวกล่าว
ธปท.ชี้มาตรการใหม่ต้องใช้เวลา
อย่างไรก็ดี ล่าสุด “จาตุรงค์ จันทรังษ์” ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 1 ธปท. ออกมาระบุชัดเจนว่า “พักทรัพย์ พักหนี้” เป็นโครงการใหม่ ทั้งสถาบันการเงินและลูกหนี้ยังไม่คุ้นเคย ทำให้ต้องใช้เวลาในการเจรจาหาข้อสรุปในเงื่อนไขต่าง ๆ
อาทิ ราคาตีโอน เงื่อนไขการเช่า ผู้ดูแลทรัพย์ และการซื้อคืน เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่สถาบันการเงินอนุมัติในเบื้องต้นแล้ว อยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงในรายละเอียด
ประกอบกับลูกหนี้ยังรอการออกกฎหมายยกเว้นภาษีที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมให้มีผลบังคับใช้ คาดว่าจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการจะทยอยเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
“ที่ผ่านมา ธปท.รับทราบปัญหาในประเด็นต่าง ๆ ของลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดย ธปท.เห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการ แต่ต้องให้เวลาทั้งสองฝ่ายเจรจาเงื่อนไขต่าง ๆ” นายจาตุรงค์กล่าว
จากภาพทั้งหมดนี้ อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะประเมินโครงการนี้ คงต้องรอให้เรื่องภาษีบังคับใช้ และให้เวลาเจ้าหนี้กับลูกหนี้เจรจากันก่อน จากนั้นค่อยมาพิจารณากันอีกทีว่าจะต้องแก้ไขปรับปรุงมาตรการอย่างไรบ้างถ้าไม่เวิร์กจริง ๆ
อ่านข่าวต้นฉบับ: เปิดปม “พักทรัพย์ พักหนี้” อืด แบงก์สะท้อนปัญหา-ธปท.ชี้ต้องใช้เวลา
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวการเงิน #การเงินการลงทุน