สัมภาษณ์
สภาธุรกิจประกันภัยไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2549 เพื่อความร่วมมือระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย ได้แก่ สมาคมประกันวินาศภัยไทย, สมาคมประกันชีวิตไทย, สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย, สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจประกันภัยของประเทศไทยให้มีความมั่นคงอย่างมีเสถียรภาพ
ล่าสุด “จีรพันธ์ อัศวะธนกุล” จากค่าย “บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์” เพิ่งได้รับเลือกให้เข้ามานั่งเก้าอี้ประธานคนใหม่
“จีรพันธ์” ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงการขับเคลื่อนธุรกิจประกันภัยไทยต่อจากนี้ว่า ตนมีแผนขับเคลื่อนงานด้วยกัน 6 เรื่องที่สำคัญ ได้แก่
1.การบังคับใช้มาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ (IFRS17) เกี่ยวกับสัญญาประกันภัยที่ต้องดูแลให้สอดรับกับการดำเนินธุรกิจในไทย ก่อนจะมีผลบังคับใช้ในปี 2566 ซึ่งปัจจุบันยังขาดความชัดเจนในหลายประเด็น อาทิ การรับรู้รายได้-ค่าใช้จ่าย รวมถึงการตั้งสำรองที่มากขึ้นจะหักภาษีได้ระดับใด ต้องเดินหน้าพูดคุยกับทางกรมสรรพากรต่อไป
2.กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่ภาคธุรกิจประกันภัยซึ่งเป็นธุรกิจที่มีหน่วยงานกำกับเฉพาะ มีจุดยืนเดิม อยากจะให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดขั้นตอนการดำเนินการ
3.ติดตามร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย ซึ่งปัจจุบันผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปแล้ว โดยต้องการผลักดันให้ธุรกิจประกันภัยมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย และช่วยรับความเสี่ยงให้กับคนไทย”
4.การปรับเงื่อนไขกฎระเบียบของสำนักงาน คปภ.ให้มีความยืดหยุ่นสอดรับสถานการณ์โควิด-19 เช่น การใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสอบใบอนุญาตตัวแทน-นายหน้า ซึ่งกำลังทำงานร่วมกับ คปภ.เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค โดยเรื่องนี้อาจต้องเร่งรีบดำเนินการตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนเร็ว
5.เร่งประสานให้มีการจัดทำฐานข้อมูลธุรกิจประกันภัย (insurance bureau system) ร่วมกัน เพื่อลดต้นทุนและประหยัดต่อขนาด (economy of scale) ทั้งอุตสาหกรรมประกันชีวิตและอุตสาหกรรมประกันวินาศภัย อาทิ การทำซอฟต์แวร์การยืนยันตัวตน, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
และ 6.หารือกฎเกณฑ์ลงทุนหรือระเบียบการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศใหม่ ๆ ร่วมกับสำนักงาน คปภ.
รับมือยอดเคลมพุ่ง
“จีรพันธ์” ยังกล่าวถึงการหารือเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าสินไหมหรือเคลมประกันโควิด-19 ที่เริ่มมีผลกระทบต่อธุรกิจประกันมากขึ้น ว่าในการประชุมคณะกรรมการสภาธุรกิจประกันภัยไทยล่าสุดได้ข้อสรุปว่าคงจะต้องนำข้อมูลของแต่ละสมาคมมาหารือร่วมกัน ซึ่งยอมรับว่าผลกระทบหนักสุดตกอยู่กับธุรกิจประกันวินาศภัยที่ขายสินค้าประเภทนี้จำนวนมาก
รับโจทย์ คปภ.ศึกษาความเสี่ยง
นอกจากนี้ ทางสภาธุรกิจประกันภัยไทยยังได้รับโจทย์จาก คปภ.ให้มาศึกษาผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความมั่นคงของบริษัทประกันภัย พร้อมให้จัดทำข้อเสนอว่าจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปอย่างไร อาทิ ความเสี่ยงการรับประกันภัยแต่ละประเภท, ความเสี่ยงจากการลงทุน เป็นต้น
ถกข้อเสนอตั้งกองทุนเอสเอ็มอี
ส่วนประเด็นที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีแนวคิดการจัดตั้งกองทุนเอสเอ็มอีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จำเป็นต้องมีเงินทุน (funding) ซึ่งอาจจะต้องให้ธุรกิจประกันภัยเข้ามาร่วม โดยมองว่าการจัดตั้งกองทุนเอสเอ็มอีเพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกู้เงินต้องมีผู้ลงทุน ซึ่งอาจจะให้ธุรกิจประกันภัย (นักลงทุนสถาบัน) เข้าไปช่วยได้ อย่างไรก็ดี คงต้องพิจารณากฎระเบียบทาง คปภ.ด้วยว่า อนุญาตหรือไม่ และคงต้องประเมินประโยชน์ที่ได้เพราะความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ถือหน่วยลงทุน
“ต้องประเมินภาพเศรษฐกิจมหภาค ถ้าเศรษฐกิจไปไม่ได้ก็จะกระทบต่อธุรกิจประกันเหมือนกัน ซึ่งเงินที่ใช้ลงทุนเป็นเบี้ยของประชาชน เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่างไรก็ดี สภาธุรกิจประกันภัยไทยคงเป็นตัวกลางที่จะคุยกับธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัย คปภ. รวมถึง ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อนว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งคงต้องมาพิจารณาขั้นตอนรายละเอียด ผลตอบแทน และความเสี่ยงกันว่ารับได้แค่ไหน ตอนนี้ยังเป็นแค่ไอเดียเบื้องต้น”
ทั้งหมดนี้เป็นภารกิจของประธานสภาธุรกิจประกันภัยไทยคนใหม่ ที่จะขับเคลื่อนในช่วงวาระดำรงตำแหน่งในอีก 2 ปีข้างหน้า
อ่านข่าวต้นฉบับ: เปิด 6 ภารกิจ ‘จีรพันธ์’ ประธานสภาธุรกิจประกันภัยไทยคนใหม่
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวการเงิน #การเงินการลงทุน