“สหรัฐ” เอาแน่ ชงกฎหมายใหม่ตั้งกำแพงภาษีรักษ์โลก ลดคาร์บอน-ลดก๊าซเรือนกระจก ตามรอยอียู คาดทยอยดีเดย์ตั้งแต่ต้นปี’65 เริ่มเก็บภาษีพลาสติก อะลูมิเนียม เหล็ก ซีเมนต์ ยันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับมือ สร้างโอกาสทางการค้า ด้าน ส.อ.ท.เกาะติดมาตรการทางการค้าใกล้ชิด
ปัจจุบันการดูแลสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นเทรนด์ที่ประเทศผู้ผลิตและผู้นำเข้าหันมาใส่ใจมากขึ้น โดยผู้นำเข้าหลายประเทศเริ่มออกกฎหมายที่ยึดโยงกับนโยบายการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรป (EU) คู่ค้าหลักของไทย ได้ประกาศนโยบาย European Green Deal ออกมา
เป้าหมายเพื่อจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 60% ให้ได้ในปี 2030 และลดเป็น 0% ในปี 2050 และเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้ผ่านมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM)
โดยจะเริ่มใช้ในปี 2566 นี้ กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ทำให้ไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อสร้างมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมให้เทียบเท่ากับอียู ล่าสุดสหรัฐอเมริกาก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังเตรียมกฎกติกาในเรื่องนี้
สหรัฐชงกฎหมายสิ่งแวดล้อม
นางขวัญนภา ผิวนิล ผู้อำนวยการส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ประจำลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากที่นายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีว่า ที่ผ่านมาเดโมแครตได้ใช้นโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในการหาเสียง
ที่ผ่านมาได้ทยอยเสนอให้ร่างกฎหมายหลายฉบับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา อาทิ เดือนกรกฎาคม เสนอร่างกฎหมาย Fair, Affordable, Innovative and Resilient Transition and Competition Act (Fair Transition and Competition Act) ที่กำหนดให้เก็บ carbon border tax สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ยกเว้นประเทศที่ได้พัฒนาและประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่จำกัดหรือลดการปล่อยคาร์บอนเท่าเทียมหรือใกล้เคียงกับกฎหมายสหรัฐ
โดยกำหนดให้เก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอน (carbon free) ในวันที่ 1 มกราคม 2024 (2567) สำหรับสินค้าเป้าหมาย คือ ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และสินค้าที่มีกระบวนการผลิตเป็น carbon-incentive เช่น อะลูมิเนียม เหล็ก และซีเมนต์ และอาจจะเพิ่มรายการสินค้าอีกในอนาคต ซึ่งจะเป็นต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในรูปของ carbon emissions tax ที่มีการเรียกเก็บทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
“วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกฎหมายนี้ หลัก ๆ น่าจะอยู่ที่การคุ้มครองแรงงานสหรัฐ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจสหรัฐ และหากกฎหมายฉบับนี้ผ่านออกมา อาจจะเป็นตัวอย่างที่นำไปสู่การจะทำค่าธรรมเนียม (border fee) สินค้านำเข้าอีกหลายรายการ โดยอ้างว่าเป็นต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ มาเป็นเงื่อนไข”
โดยมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐนำเข้าสินค้าที่อาจจะเข้าข่ายเป็น carbon-incentive จากไทย เมื่อปี 2563 มูลค่า 11,569.87 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30% ของมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากไทย เช่น สินค้าเหล็ก อะลูมิเนียม ซีเมนต์ mineral fuels, minerals oil, nuclear reactors (สินค้าในกลุ่มพิกัด 73, 76, 68, 72, 27, 83, 84, 25) เป็นต้น
นางขวัญนภากล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือ American Innovation and Manufacturing Act of 2020 เพื่อลดระดับการผลิตและการใช้สารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก ให้ลดลง 85% ภายใน 15 ปี ตามนโยบายของประธานาธิบดีไบเดน
ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้เสนอให้มีการยกร่างกฎหมาย Rewording Efforts to Decrease Unrecycled Contaminants in Environments (REDUCE) Act เพื่อเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตเม็ดพลาสติกใหม่ (virgin plastic reisins) จากโรงงานผู้ผลิตและผู้นำเข้าในอัตราเพิ่มขึ้น
เบื้องต้นเริ่มการบังคับใช้ในปี 2565 อัตราภาษีจะอยู่ที่ 10 เซนต์ต่อปอนด์ และทยอยเพิ่มขึ้นแบบเป็นขั้นบันไดเป็น 15 เซนต์ต่อปอนด์ ในปี 2566 และ 20 เซนต์ต่อปอนด์ ในปี 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบกับสินค้าพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทั้งบรรจุภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์อาหาร
อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวยังมีการถกเถียงและถูกคัดค้านจากกลุ่มอุตสาหกรรมภายในสหรัฐที่อาจจะถูกเรียกเก็บด้วย และมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหา โดยเฉพาะการให้คำจำกัดความเม็ดพลาสติกใหม่ ว่าจะครอบคลุมสินค้าชนิดใดบ้าง หรืออาจจะถูกนำไปรวมกับร่างกฎหมายฉบับอื่นที่มีลักษณะเนื้อหาคล้ายกัน ก่อนที่จะนำออกมาบังคับใช้
“หากประเทศไทยสามารถปรับตัวได้ทั้งในเรื่องการจัดหาวัตถุดิบและกระบวนการผลิตสินค้าเพื่อให้สอดรับเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม จะสามารถสร้างโอกาสทางการค้ามากขึ้นในอนาคต เพราะเฉพาะในสหรัฐ รายงานของบริษัทวิจัย Nielsen คาดว่า ปีนี้ตลาดสินค้า sustainability ของสหรัฐ ยอดขายสูงถึง 1.5 แสนล้านเหรียญ” นางขวัญนภาย้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การส่งออกไทยไปสหรัฐ ปี 2563 มีมูลค่า 34,381.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.67% และในช่วง 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม) 2564 มีมูลค่า 26,883.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 20.56%
เอกชนเกาะติด-เร่งปรับตัวรับมือ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต (PFC) หอการค้าไทย แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันประเทศคู่ค้าต่าง ๆ มีการใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะการลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์
นอกจากสหรัฐที่เตรียมเก็บภาษีสรรพสามิตเม็ดพลาสติกแล้ว ล่าสุดฝรั่งเศสมีนโยบายแบนการใช้ถุงพลาสติกในผักผลไม้ จะเริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2022 ขณะที่สวีเดนได้วางระบบการคัดแยกขยะ และนำขยะแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า รวมถึงหลาย ๆ ประเทศในยุโรปที่มีการวางระบบมัดจำถุงพลาสติกในร้านค้า เช่น ที่เยอรมนี สวีเดน หรืออังกฤษ มีการเก็บค่าธรรมเนียมถุงพลาสติก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้ทยอยปรับตัวเพื่อรองรับ โดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อใช้บรรจุภัณฑ์ เช่น การใช้ฟิล์มหด (shrink label) ที่ผลิตจากพลาสติก PET มาใช้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำวัสดุนี้เข้าไปสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ นอกจากนี้ก็มีการปรับใช้บรรจุภัณฑ์จากไบโอพลาสติกหลายประเภท เช่น พลาสติกชีวภาพจากพืช (PLA) ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุโพลีโพรไพลีน (PP) ชนิดหมุนเวียน เป็นต้น
“เอกชนต้องปรับตัวให้สอดรับกับนโยบายของคู่ค้าโดยเฉพาะสหรัฐ และสหภาพยุโรปที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เราต้องทำให้สามารถใช้ซ้ำได้หลายครั้ง หรือปรับให้มีนวัตกรรมการผลิตที่ใช้พลาสติกที่มีส่วนผสม ให้เหลืออย่างเดียวหรือน้อยชนิด เพื่อให้สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้”
ปัจจุบันสหรัฐนำเข้าพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติกจากไทยมากเป็นอันดับที่ 11 เมื่อปี 2563 มีมูลค่านำเข้า 740 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 23,680 ล้านบาท ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ มีการนำเข้า 540 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 17,280 ล้านบาท
ขณะที่นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC กล่าวว่า บริษัทได้ติดตามเรื่องของภาษีคาร์บอนข้ามแดน (carbon border tax) ของสหภาพยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ที่จะมีการเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าในอนาคตมาต่อเนื่อง
ปัจจุบันแม้ว่าบริษัทจะไม่ได้ส่งออกไปยังอียูมากนัก แต่ก็ให้ความสำคัญกับประเด็น climate change ภายใต้อนุสัญญา Paris Agreement มาโดยตลอด ส่วนในสหรัฐ บริษัทก็มีฐานการผลิตและการลงทุนพลาสติกชีวภาพต่อเนื่อง
“บริษัทพร้อมจะลงทุนทั่วโลกและร่วมมือกับพันธมิตร และเรามีบอร์ดดูเรื่องโลกร้อนเฉพาะ และมุ่งการลดก๊าซเรือนกระจก โดย 10 ปีที่ผ่านมามีการขยายธุรกิจ ทั้งเพิ่มผลิตภัณฑ์ เพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก เรซิ่น และโพลีเมอร์ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดตลอดจนผลิตภัณฑ์ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบพื้นฐานของอุตสาหกรรมต่าง ๆ”
อียูจ่อเก็บภาษีไก่ปล่อยคาร์บอน
นายสมบูรณ์ วัชรพงษ์พันธ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ แสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมาอียูให้ความสำคัญเรื่องการลดโลกร้อน และต้องการซื้อสินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และอาหารสัตว์ที่ไม่ได้มาจากการรุกป่า หากประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตไก่ที่ปราศจากการทำลายป่า หรือไก่ไร้คาร์บอนได้ ก็อาจถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าตามจำนวนคาร์บอนที่ปล่อย
ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไก่ไทยในเวทีโลกลดลง และจะกระทบถึงไก่เนื้อทั้งอุตสาหกรรมด้วย นอกจากสมาคมจะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเลี้ยงไก่ไร้คาร์บอนแล้ว ยังต้องการให้รัฐหันมาใส่ใจสนับสนุนในเรื่องนี้ด้วย
“อยากให้รัฐบาลเน้นมาส่งเสริมการเลี้ยงไก่ด้วยผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่รุกป่า ไม่มีการเผาตอซัง และส่งเสริมการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา เพื่อป้องกันการสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญไป” นายสมบูรณ์กล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับ: ส่งออกระทึกดิ้นปรับตัวรับมือ สหรัฐ-อียูเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวเศรษฐกิจ #เศรษฐกิจการค้า