กรุงเทพฯ จมน้ำอยู่ใต้ทะเลอ่าวไทย เมื่อหลายพันปีมาแล้ว
กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันอยู่ทางเหนือของอ่าวไทย แต่ในยุคดึกดำบรรพ์ ราว 12,000 ปีมาแล้ว พื้นที่ของกรุงเทพฯ จมอยู่ใต้ท้องทะเลอ่าวไทย เพราะอ่าวไทยในอดีตมีขอบเขตลึกเข้าไปในแผ่นดินที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยมีลายพระหัตถ์เล่าว่า “ขุดได้ซากปลาวาฬที่บางเขน ไม่ห่างสะพานพระราม 6 เท่าใดนัก”
เหตุที่บริเวณที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นทะเล เมื่อประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว เพราะน้ำทะเลมีระดับสูงขึ้นมากจากน้ำแข็งละลาย ทำให้ท้องทะเลแถบอ่าวไทย มีขอบเขตกว้างขวางสูงขึ้นไปถึงลพบุรีหรือเหนือขึ้นไปอีก ยุคดึกดำบรรพ์ที่บริเวณกรุงเทพฯ ยังจมเป็นพื้นท้องทะเลอ่าวไทย เขตป่าเขาลำเนาไพรโดยรอบอ่าวไทยมี “มนุษย์อุษาคเนย์” ร่อนเร่เป็นกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายแสวงหาอาหารตามธรรมชาติด้วยเครื่องมือทำด้วยหินและไม้ บางทีก็เอาเรือไม้แล่นหาอาหารตามทะเลโคลนตม
มีเรื่องราวละเอียดอยู่ในหนังสือกรุงเทพฯ มาจากไหน? (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2548) จะสรุปสั้นๆ มาดังต่อไปนี้
“ทะเลโคลน” ก่อนมีกรุงเทพฯ
ทะเลอ่าวไทยยุคดึกดำบรรพ์ราว 12,000 ปีมาแล้ว มีขอบเขตกว้างขวางกว่าปัจจุบัน ดังนี้ ทิศเหนือ ทะเลสูงขึ้นไปถึงบริเวณ จ.ลพบุรี หรือเหนือขึ้นไปอีก ทิศตะวันตก ทะเลเว้าเข้าไปถึงบริเวณ อ.เมือง และ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ต่ำลงมาที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ต่ำลงมาที่ อ.เมือง จ.ราชบุรี และต่ำลงมาที่ อ.เมือง จ.เพชรบุรี ทิศตะวันออก ทะเลเว้าเข้าไปถึงบริเวณ จ.สระบุรี จ.นครนายก จ.ปราจีนบุรี และเว้าไปถึง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
เมื่อขอบเขตอ่าวไทยยุคดึกดำบรรพ์ล้ำเข้าไปมากกว่าปัจจุบัน แม่น้ำสายสำคัญๆ ที่ไหลลงทะเลจึงสั้นกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือ ปากน้ำเจ้าพระยา อยู่บริเวณ จ.นครสวรรค์-ชัยนาท ปากน้ำแม่กลอง อยู่ทาง จ.นครปฐม (แม่น้ำท่าจีนยังไม่มี) ปากน้ำบางปะกง อยู่ทาง จ.นครนายก-ปราจีนบุรี ปากน้ำป่าสัก อยู่ทาง จ.ลพบุรี เป็นต้น
ทะเลอ่าวไทยยุคดึกดำบรรพ์ที่กว้างขวางดังกล่าวมิได้อยู่คงที่ เพราะแผ่นดินโดยรอบงอกออกไปเรื่อยๆ ตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ อันเป็นผลจากการทับถมของตะกอนหรือโคลนตมที่ล้นทะลักไหลมากับน้ำในแม่น้ำสายต่างๆ ที่มีอยู่รอบอ่าวไทย ยุคโน้น ครั้นนานเข้าก็กลายเป็นทะเลโคลนตม ขยายพื้นที่กว้างออกไปเรื่อยๆ ช้าๆ ตามธรรมชาติ
ในที่สุดโคลนตมที่ถมทับกลับกลายเป็นดินดอน แผ่กว้างเป็น “แผ่นดินบก” สืบเนื่องจนปัจจุบัน นอกจากจะถมทะเลให้เป็นแผ่นดินบกแล้ว โคลนตมจำนวนมหาศาลยังเป็นปุ๋ย ธรรมชาติดีที่สุด ที่ทำให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกข้าวในสมัยหลังๆเมื่อตะกอนจากแม่น้ำทะลักออกมาทับถมนานนับพันปี ในที่สุดอ่าวไทยก็ค่อยๆ หดลง บริเวณที่โคลนตมตกตะกอนก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของผืนแผ่นดินใหญ่
ราว 5,000 ปีมาแล้ว พื้นที่กรุงเทพฯ ยังอยู่ใต้ทะเลโคลน แต่มนุษย์อุษาคเนย์เริ่มตั้งหลักแหล่งถาวรเป็นชุมชนหมู่บ้าน ทำการกสิกรรม เช่น ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ อยู่บริเวณภาคเหนือ เช่น แม่ฮ่องสอน ฯลฯ และอีสาน เช่น บ้านเชียง ฯลฯ หลังจากนั้นก็กระจัดกระจายกว้างออกไปที่อื่นๆ ราว 4,000 ปีมาแล้ว ก็เกิด “โลหปฏิวัติ” เมื่อมนุษย์มีความก้าวหน้าถลุงโลหะทำเครื่องมือเครื่องใช้แทนเครื่องมือหิน
ต่อมาเมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว ก็รู้จักถลุงเหล็กทั่วไปทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ มีชุมชนบ้านเมืองขนาดเล็กๆเกิดขึ้นทั่วไป ชาวชมพูทวีป (อินเดีย) และฮั่น (จีน) เดินทางเข้ามาแลกเปลี่ยนค้าขาย มีคนจากที่ต่างๆ เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่งมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแต่บริเวณกรุงเทพฯ ยังเป็นทะเลโคลนตม จึงไม่มีคนตั้งหลักแหล่งถาวรได้ จะมีก็เพียงคนบางกลุ่มเคลื่อนไหวแสวงหาอาหารผ่านไปมา
ต้องรอเวลาอีกพันๆปี เมื่อโคลนตมถมทับเป็นดินดอนแข็งแรง ถึงจะมีคนเคลื่อนย้ายมาตั้งหลักแหล่ง แล้วเติบโตเป็นกรุงเทพฯ ทุกวันนี้
ภาพประกอบ : 1.ด้านซ้าย แผนที่แสดงลักษณะภูมิประเทศบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ยังมีสภาพเป็น “ทะเลโคลน”กว้างขวางสูงขึ้นไปมากกว่าปัจจุบัน การตั้งหลักแหล่งชุมชนและบ้านเมืองยุคแรกๆ จึงอยู่ตามที่ดอนหรือขอบอ่าวบริเวณพื้นที่ใกล้ชิดหรือติดกับ “ทะเลโคลน”
2. ขวาบน กระดูกหัวปลาวาฬที่ศาลศีรษะ ปลาวาฬในบริเวณพระราชวังเดิม กองทัพเรือ เป็นกระดูกที่พบอยู่ใต้ถุนศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
3. ขวาล่าง ขวานหินและเศษภาชนะยุคก่อนประวัติศาสตร์ งมได้จากแม่น้ำน้อย อ. เสนา จ. พระนครศรีอยุธยา แสดงว่าตลอดลำน้ำเก่าก่อนมีแม่น้ำเจ้าพระยาเคยเป็นแหล่งอยู่อาศัยชั่วคราวหรือแสวงหาอาหารผ่านไปมาของคนยุคนั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก หน้า 20,มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2554
Source: ชมรมประวัติศาสตร์สยาม
(Feed generated with FetchRSS)
Link : Read More
Tags : #ประวัติศาสตร์ #เกร็ดความรู้ #เรื่องเล่า