ธปท. เปิดผลสำรวจทักษะการเงินไทยปี 63 พบคะแนนมีพัฒนาการดีขึ้นมาอยู่ที่ 71.0% สูงกว่าปี 61 ที่อยู่ 66.2% เผย ภายใต้โควิด-19 กดดันครัวเรือนเปราะบางขึ้น รายได้โดนกระแทก-กันชนเงินออมบาง ชี้ คนไทยมีแค่ 38% เอาตัวรอดจากภาวะเงินซ็อตได้ พร้อมเดินหน้าให้ความรู้ทางการเงินภาคประชาชนกว่า 17.5 ล้านคน
วันที่ 28 ตุลาคม 2564 นางสาวนวพร มหารักขกะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายบริหารความเสี่ยงองค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เห็นความสำคัญของการส่งเสริมให้ประชาชนมีทักษะทางการเงินที่ดี อันจะเป็นภูมิคุ้มกันให้สามารถดูแลตนเองได้แม้ต้องเผชิญความท้าทายต่างๆ อาทิ หนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคประชาชนและธุรกิจในวงกว้าง
โดยในปี 2563 ธปท.ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจระดับทักษะทางการเงินของคนไทยตามกรอบของ The Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) เป็นครั้งที่ 8 ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 11,901 ครัวเรือน เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาทักษะทางการเงินของคนไทย และสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ดี
สำหรับภาพรวมผลการสำรวจทักษะทางการเงิน ปี 2563 แสดงให้เห็นว่าคนไทยมีพัฒนาการระดับทักษะทางการเงินดีขึ้นอยู่ที่ 71.0% สูงกว่าการสำรวจครั้งก่อนในปี 2561 ที่อยู่ 66.2% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยการสำรวจทักษะทางการเงินครั้งล่าสุดของ OECD ในปี 2563 ที่อยู่ 60.5%
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นห่วงและน่าสังเกต คือ จะเห็นว่าครัวเรือนมีความเปราะบางทางการเงินมากขึ้น สะท้อนจากสัดส่วนผู้สำรวจที่มีการบริหารจัดการทางการเงินพอใช้มีเพียง 38% ที่มีเงินสำรองอยู่ได้เกิน 3 เดือนหากต้องหยุดงานกะทันหัน หรือสามารถเอาตัวรอดได้ในภาวะเงินซ็อต ซึ่งมีมากกว่า 62% ที่ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ สะท้อนสถานะทางการเงินที่ความเปราะบาง ส่วนหนึ่งมาจากรายได้ที่ลดลงจากแรงกระแทกของโควิด-19 และประชาชนไม่มีกันชนเรื่องเงินออมที่เพียงพอ ตลอดจนมีการกูยืมเงินจากหลายช่องทางโดยมีการบริหารจัดการไม่ดี ทำให้คนรอดจากภาวะเงินซ็อตได้น้อย ประกอบกับธปท.มีการสำรวจในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย
นอกจากนี้ ประชาชน 1 ใน 3 หรือประมาณ 33% ไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินออมพอแค่ไหน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ห่วงเช่นเดียวกัน ขณะที่มีคนไทยไม่ถึง 1 ใน 5 หรือประมาณ 17.8% ที่มีแผนออมเพื่อเกษียณและทำได้ตามแผน และมีสูงถึง 48.2% ที่เริ่มแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ และมีคนไทยสัดส่วนถึง 15.3% ที่ยังไม่วางแผนการออมเพื่อเกษียณ
นางสาวนวพร กล่าวว่า เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของทักษะทางการเงินทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1.ความรู้ทางการเงิน 2.ด้านพฤติกรรมทางการเงิน และ 3.ด้านทัศนคติทางการเงิน พบว่าคนไทยมีพัฒนาการดีขึ้นในทุกด้าน โดยความรู้ทางการเงินอยู่ที่ 62.9% ปรับเพิ่มขึ้นจาก 55.7% ในปี 2561 ปรับตัวดีขึ้นในทุกหัวข้อแต่ยังมีหัวข้อที่สามารถพัฒนาและส่งเสริมเพิ่มเติม ได้แก่ การคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากทบต้น การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และมูลค่าของเงินตามกาลเวลา
ขณะที่ด้านพฤติกรรมทางการเงินอยู่ที่ 71.1% ปรับเพิ่มขึ้นจาก 67.8% ในปี 2561 โดยหัวข้อการจัดสรรเงินก่อนใช้และศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เหมาะสมมีคะแนนเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ดี หัวข้อการบริหารจัดการเงินเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเงินไม่พอใช้มีคะแนนลดลง
ด้านทัศนคติทางการเงินอยู่ที่ 82.0% เพิ่มขึ้นจาก 78.0% ในปี 2561 มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทัศนคติในเรื่องการวางแผนเพื่ออนาคตในระยะยาวเป็นหัวข้อที่มีพัฒนาการจากปี 2561 มากที่สุด ซึ่งความไม่มั่นคงทางรายได้จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 น่าจะมีส่วนทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคตมากขึ้น
“เมื่อพิจารณาระดับทักษะทางการเงินตามมิติช่วงวัยพบว่าทุกวัยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกด้านสอดคล้องกับภาพรวมของประเทศ โดย Gen Y มีระดับทักษะทางการเงินดีที่สุดเมื่อเทียบกับวัยอื่นเนื่องจากมีคะแนนด้านความรู้และพฤติกรรมทางการเงินสูง แต่มีคะแนนทัศนคติทางการเงินค่อนข้างน้อย รองลงมาคือ Gen X โดยทัศนคติทางการเงินเป็นหัวข้อที่มีคะแนนสูงสุดเมื่อเทียบกับช่วงวัยอื่น Gen Z มีคะแนนทักษะทางการเงินค่อนข้างน้อย
โดยมีคะแนนด้านพฤติกรรมและทัศนคติทางการเงินน้อยที่สุดในทุกช่วงวัยแต่มีพัฒนาการของระดับทักษะทางการเงินดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับคะแนนปี 2561 โดยเฉพาะด้านความรู้และพฤติกรรมทางการเงิน และ Gen Baby Boomer ขึ้นไป มีคะแนนทักษะทางการเงินน้อยที่สุดโดยมีคะแนนด้านความรู้น้อยกว่าช่วงวัยอื่น”
นางสาวนวพร กล่าวว่าสำหรับการสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมการออม พบว่าสัดส่วนผู้มีเงินออมในกลุ่มตัวอย่างเพิ่มขึ้นเป็น 74.7% ในปี 2563 จาก 72.0% ในปี 2561 และคนส่วนใหญ่มีความตระหนักเรื่องการออมเงินเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และการออมเพื่อการเกษียณ ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นของการเก็บเงินสำรองมากขึ้น ทั้งนี้ แรงจูงใจสำคัญในการออมมาจากการมีเป้าหมายหรือแผนที่ชัดเจนที่จะต้องใช้เงินในอนาคต แต่มีเพียง 19.7% ที่จัดสรรเงินเพื่อออมก่อนนำเงินไปใช้จ่ายจึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เป้าหมายการออมไม่สำเร็จ
ทั้งนี้ ธปท.ได้ดำเนินการด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชนตั้งแต่ปี 2555 ผ่านช่องทางต่างๆ มากกว่า 17.5 ล้านคน โดยส่งเสริมความรู้ในวงกว้างผ่านช่องทาง online platform Facebook ของ ศคง. 1213 และ เครือข่ายพันธมิตร เช่น อสม. รวมถึงสื่อท้องถิ่น ด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย สอดคล้องกับเหตุการณ์ในชีวิต ในหัวข้อเน้นประเด็นที่เป็นปัญหาการเงินเร่งด่วน เช่น การบริหารจัดการเรื่องหนี้ และประเด็นที่ควรพัฒนา/จุดอ่อน เช่น Digital Literacy ภัยการเงิน
นอกจากนี้ ส่งเสริมให้มีการออมและวางแผนทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยมีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินการ 2 โครงการหลัก ได้แก่ (1) โครงการ Fin. ดี We Can Do!!! สำหรับกลุ่มนักศึกษาอาชีวะ ที่ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวะศึกษา (สอศ.) จัดประกวดบนแนวคิด “ผลงานของคนอาชีวะเพื่อคนอาชีวะ” เป็นปีที่ 3 โดยมีกิจกรรมส่งเสริมความรู้ทางการเงินเพื่อกระตุกความคิดเรื่องการเงิน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจ
และ (2) โครงการ Fin. ดี Happy Life!!! สำหรับกลุ่มวัยทำงาน แก่ตัวแทนประจำหน่วยงาน (Fin. Trainer) เพื่อนำไปขยายผลให้แก่พนักงานในหน่วยงาน ในรูปแบบการให้ความรู้ จัดกิจกรรม และเป็นพี่เลี้ยงตลอดโครงการ
โดยสนับสนุนให้ประชาชนมีความพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ (Financial resilience) เช่น พัฒนาคู่มือ “รู้รอบเรื่องเงิน พร้อมเผชิญทุกวิกฤต” เผยแพร่บนเว็บไซต์ ศคง. 1213 และส่งผ่านความรู้แก่แรงงานกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากโควิดผ่านองค์กรพันธมิตรของสมาคมภาคธุรกิจเอกชนต่าง ๆ ในรูปแบบของอินโฟกราฟิก คลิปวีดิโอ หลักสูตรอบรมออนไลน์ บทความ ธปท. ให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในอันที่จะปลูกฝังและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทางการเงินแก่ประชาชนซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
อ่านข่าวต้นฉบับ: ธปท. เผย โควิดทำคนไทย 62% เจอภาวะเงินซ็อต
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวการเงิน #การเงินการลงทุน