เอฟดีเอสหรัฐฯ สนับสนุนให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์ สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี คาดว่าจะเริ่มฉีดได้ในเดือน พ.ย.นี้
วันที่ 27 ตุลาคม 2564 ไฟแนนเชียลไทม์ส์ รายงานว่า ที่ปรึกษารัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติให้เด็กอายุ 5-11 ปี เข้ารับวัคซีนป้องกันโควิดของไบออนเทค/ไฟเซอร์ ซึ่งเป็นการปูทางให้สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศแรกที่อนุญาตให้ใช้วัคซีนชนิดนี้กับเด็กเล็ก
นักวิทยาศาสตร์ในคณะที่ปรึกษาจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ลงคะแนนอย่างท่วมท้น เพื่อสนับสนุนให้ไฟเซอร์จัดหาวัคซีนให้กับเด็กกลุ่มนี้ ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุน 17 คน และงดออกเสียง 1 คน เมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น
การลงคะแนนครั้งนี้ถือว่าเป็นความชัดเจนในการขยายขอบเขตการใช้วัคซีนในสหรัฐฯ และอาจช่วยแบ่งเบาภาระตามโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้จะไม่มีใครในคณะที่ปรึกษาลงคะแนนคัดค้านการเคลื่อนไหวดังกล่าว แต่หลายคนแสดงความกังวลกับแนวคิดนี้ว่า อาจนำไปสู่การออกข้อบังคับเรื่องการฉีดวัคซีนสำหรับเด็ก
นายไมเคิล เนลสัน อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย กล่าวว่า ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาเกี่ยวกับทางเลือกส่วนบุคคลและความเท่าเทียม และไม่ใช่คำสั่งสำหรับทุกคน
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนในคณะที่ปรึกษาฯดังกล่าว แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้ไม่มีความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ ที่จะป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลอื่น ๆ จากไฟเซอร์และเอฟดีเอ ที่แสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนให้ผู้ที่มีอายุ 5-11 ปี สามารถยับยั้งการติดเชื้อในประชากรได้หลายหมื่นรายในช่วง 6 เดือน
นางแคทริน เจนเซ่น หัวหน้าแผนกวิจัยและพัฒนาวัคซีนของไฟเซอร์ ยินดีกับข้อเสนอแนะเชิงบวกของคณะที่ปรึกษาฯ โดยกล่าวว่า โควิด-19 ยังคงเป็นภัยคุกคามสำหรับเด็กกลุ่มนี้ ซึ่งมีจำนวนกว่า 28 ล้านคนในสหรัฐฯ เนื่องจากพวกเขามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อชนิดนี้
การวิเคราะห์จากไฟเซอร์และเอฟดีเอชี้ว่า การฉีดวัคซีนให้เด็กเล็กช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ ระหว่าง 45,000-60,000 คน ในเด็กทุก ๆ 1 ล้านคน ที่ได้รับวัคซีนในช่วง 6 เดือน ตามสมมติฐานการระบาดของไวรัสในขณะนี้ และการฉีดวัคซีนให้เด็กกลุ่มนี้จะหยุดยั้งการรักษาในโรงพยาบาลได้มากกว่า 200 แห่ง ขณะที่มีผู้เสียชีวิตเพียงไม่กี่รายในเวลานั้น
อ่านข่าวต้นฉบับ: ไฟเซอร์ ได้ไฟเขียว ฉีดให้เด็ก 5-11 ปี ในสหรัฐฯ
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวรอบโลก