คอลัมน์ Tech Times
มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ
โลกเทคโนโลยีมักมีคำศัพท์ใหม่ ๆ มาให้เราต้องเรียนรู้เสมอ ในรอบทศวรรษที่ผ่านมาคำว่า internet of things (IOT) คือ คำศัพท์สุดฮิตประจำวงการ แต่วันนี้จะพูดถึง IOT เฉย ๆ โดยไม่พ่วง คำว่า internet of bodies (IOB) เข้ามาด้วยก็จะดูเชยไปสักหน่อย
IOB คือการผสมผสาน body sensor network (BSN) หรือเทคโนโลยีโครงข่ายเซ็นเซอร์ร่างกายกับ IOT เพื่อให้เกิดอุปกรณ์ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ที่ช่วยตรวจจับ และประมวลผลการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่าง ๆ และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์
IOB เฟสแรกที่เราคุ้นเคย ได้แก่ สมาร์ทวอตช์ สายข้อมือ หรือแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนต่าง ๆ ที่ช่วยนับก้าว เช็กการเต้นของหัวใจ หรือพฤติกรรมการนอน
ส่วน IOB เฟส 2 คืออุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้วิธีฝังหรือกลืนเข้าไปในร่างกาย เช่น การฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (pacemaker implantation) เข้าไปในผนังหน้าอกใต้ผิวหนังของผู้ป่วยเพื่อกระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ
หรือการฝังประสาทหูเทียม (cochlear implant) ที่ใช้ฟังแทนการทำงานของหูชั้นใน ไปจนถึงยาเม็ดดิจิทัล(digital pill) ซึ่งมีตัว sensor ขนาดเล็กฝังอยู่ในเนื้อยา เพื่อส่งสัญญาณยืนยันเมื่อยาตกถึงท้องไปที่แถบรับสัญญาณที่คนไข้สวมอยู่
ก่อนจะส่งผ่านแอปที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ ไปยังแพทย์และผู้ดูแลอีกที
สำหรับ IOB เฟส 3 ที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ บรรดาไมโครชิปที่จะช่วยมอนิเตอร์และควบคุมการทำงานของร่างกายจากระยะไกล เช่น สมาร์ทคอนแท็กต์เลนส์ ที่มีเซ็นเซอร์หรือชิปที่สามารถมอนิเตอร์ร่างกายผ่านข้อมูลที่ได้จากดวงตาหรือของน้ำภายในลูกตาได้ เช่น ใช้มอนิเตอร์ระดับกลูโคสในร่างกายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังรวมถึงพวก brain computer interface (BCI) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างคลื่นสมองกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้กับผู้พิการสามารถขยับแขนขาได้ด้วยตัวเอง
อีกทั้งในเฟส 3 นี้ยังมีความพยายามที่จะเชื่อมต่อ BCI กับระบบ AI เพื่อวิเคราะห์และคาดเดาปฏิกิริยาต่าง ๆ ของมนุษย์ ผ่านคลื่นสมองรวมทั้งการแสดงออกทางสีหน้า หรือโทนเสียงอีกด้วย
หากทำได้จริงจะมีประโยชน์ในหลายกรณี ไม่ว่าจะช่วยลดอุบัติเหตุจากการขับขี่ยานพาหนะ (เช่น หากระบบบนรถยนต์สามารถคาดเดาได้จากคลื่นสมองว่าเรากำลังจะเบรก
มันสามารถสั่งเตรียมพร้อมสำหรับการหยุดรถในระยะทางที่สั้นลงกว่าเดิมทำให้ปลอดภัยต่อทุกคนบนท้องถนน) หรือช่วยบริษัทห้างร้านวิเคราะห์ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อสินค้าประเภทต่าง ๆ เป็นต้น
คาดกันว่าการพัฒนาเครือข่าย 5G และ WiFi 6 จะยิ่งช่วยให้อุปกรณ์ IOB รุ่นใหม่สามารถแชร์ดาต้าในปริมาณมหาศาลและสามารถสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ด้วนกันเองได้รวดเร็วขึ้นด้วย
แต่ถึงแม้เทคโนโลยี IOB จะมีประโยชน์มากมาย มันก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยงไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เป็นภัยคุกคามความเป็นส่วนตัว เพราะอุปกรณ์ IOB นั้นเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเสี่ยงที่จะโดนแฮกได้เหมือนระบบคอมพิวเตอร์ทั่วไป
ซึ่งแฮกเกอร์สามารถในการเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างของผู้ใช้ ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ได้ยินหรือเห็นอะไร และสามารถล้วงลึกไปถึงการทำงานของอวัยวะภายในต่าง ๆ ได้อีก
เช่น การฝังประสาทหูเทียม แม้จะช่วยให้คนกลับมาได้ยินอีกครั้งแต่ตัวเซ็นเซอร์ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ก็สามารถบันทึกเสียงทุกอย่างที่อยู่บริเวณโดยรอบ ทำให้คนที่จ้องล้วงข้อมูลสามารถเข้าถึงบทสนทนาต่าง ๆ ได้จากระยะไกลได้ตลอด 24 ชม. เป็นต้น
นอกจากนี้แฮกเกอร์ยังเข้าไปยุ่งเหยิงกับข้อมูลที่ส่งจากอุปกรณ์ IOB ต่าง ๆ หรือแอบปล่อยข้อมูลเพื่อแบล็กเมล์ หรือแม้กระทั่งสั่งหยุดการทำงานของอุปกรณ์ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นทำให้ผู้ใช้อุปกรณ์เสียชีวิตได้
ตอนนี้เลยเกิดคำถามว่า ใครควรเป็นเจ้าของข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากอุปกรณ์เหล่านั้นกันแน่ และผู้ใช้หรือผู้บริโภคมีสิทธิที่จะปฏิเสธการแชร์ข้อมูลหรือไม่
เทคโนโลยีนั้นเหมือนดาบสองคม โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก ๆ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ใช้งานที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่อาจก้าวไม่ทันความล้ำสมัยของมัน ยังดีที่อุปกรณ์ IOB ในเฟส 3 ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนา
หลายฝ่ายจึงเสนอให้เตรียมพร้อมด้านนโยบายและกฎระเบียบต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าเพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานก่อนที่จะมีการใช้งานจริง
อ่านข่าวต้นฉบับ: Internet of Bodies ดาบสองคมที่ต้องจับตา ?
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #IT Techonogy #ข่าวไอที