แสนสิริ จับมือ ยูนิลีเวอร์ ผุดโครงการจัดการขยะจากที่อยู่อาศัย ชวนลูกบ้านกว่า 50 โครงการ แยกขยะ เพื่อเข้าสู่กระบวนการ Upcycle
วันที่ 22 กันยายน 2564 นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ดูแลสังคมและสร้างองค์กรที่ดี ภายใต้พันธกิจ “Sansiri Sustainability : Everyday Better” ยึดมั่นที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกวันให้กับลูกบ้าน สังคมและทุกคน โดยเฉพาะในด้าน Waste Management ที่ได้ดำเนินการมาอย่างจริงจัง โดยผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำมากมากมาย เพื่อเก็บรวบรวมและจัดการขยะในแต่ละประเภท
ตั้งแต่การร่วมมือกับโคคา-โคล่าในการจัดการขยะประเภทบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มและวัสดุที่สามารถนำมารีไซเคิลได้, การร่วมมือกับ SCG Packaging ในการจัดการขยะรีไซเคิลประเภทกระดาษ ตลอดจนการร่วมมือกับ AIS เพื่อคัดแยกขยะ e-Waste ในโครงการแสนสิริ
ทำให้ในปีที่ผ่านมา สามารถรวบรวมและคัดแยกเพื่อนำขยะเข้าสู่กระบวนการจัดการอย่างเหมาะสมไปทั้งหมด 205,815 กิโลกรัม ใน 148 โครงการ แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้หลายองค์กรออกนโยบาย Work from Home และคนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้แนวโน้มจำนวนขยะในครัวเรือนได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เราจึงเดินหน้าจัดการขยะพลาสติกแบบย่อยสลายไม่ได้ด้วยการจับมือยูนิลีเวอร์ จัด “waste to WORTH: แยกไม่ยาก” ตั้งจุดรับขยะที่ Habito Mall และร่วมกับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เพื่อขยายผลไปในอีกกว่า 50 โครงการของเรา ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางให้เกิดประโยชน์ เพื่อชะลอขยะพลาสติกลงสู่ภูเขาขยะให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ยังเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ALL_Thailand ภายใต้ทุนสนับสนุนจาก Alliance to End Plastic Waste (AEPW) กับเป้าหมายในการเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมสร้าง Business Model ต้นแบบการจัดการขยะพลาสติกกับ PPP Plastics มุ่งผลักดันการจัดการขยะเพื่อเปลี่ยนประเทศไทย
นายเศรษฐากล่าวต่อว่าสถานการณ์ขยะพลาสติก ในไทย มีข้อมูลจากเสวนาออนไลน์ของ PPP Plastics ในหัวข้อ “ขยะพลาสติก : การจัดการและโอกาส Post COVID-19” ระบุว่า ในช่วงก่อนโควิด-19 ไทยมีขยะพลาสติกเฉลี่ย 2 ล้านตัน/ปี หรือเฉลี่ยประมาณ 90 กรัม/คน/วัน (ม.ค.-ธ.ค. 2562) โดยมีขยะพลาสติกถูกนำกลับไปใช้ประโยชน์คิดเป็น 0.5 ล้านตัน/ปี และได้ ถูกนำไปกำจัดโดยวิธีฝังกลบหรือเตาเผา 1.5 ล้านตัน/ปี แม้ว่าในช่วงต้นปี 2563 มีการรณรงค์ลดใช้พลาสติก
โดยมีประชาชนให้ความสนใจ พร้อมหันมาใช้ถุงผ้ากันมากขึ้น แต่หลังจากที่มีสถานการณ์โควิด-19 จนถึงการระบาดระลอกใหม่ ปริมาณขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นถึง 45% เฉลี่ยประมาณ 139 กรัม/คน/วัน (เม.ย.2564) และคาดว่าอาจจะมากกว่าเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมไปถึงความจำเป็นในการใช้พลาสติกจากสถานการณ์โควิด-19
ด้านนายโรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน กล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าเราไม่สามารถมีธุรกิจที่แข็งแกร่งบนโลกที่ป่วยได้ นี่คือเหตุผลที่ยูนิลีเวอร์มุ่งมั่นทุ่มเทในหลายด้านเพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนทุกมิติ โดยเฉพาะในเรื่องขยะพลาสติก ตั้งเป้าว่า ภายในปี พ.ศ. 2568 บรรจุภัณฑ์ของเราจะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิลได้ หรือย่อยสลายได้ 100% นอกจากนี้ เราจะลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (Virgin Plastic) ลง 50% และเราจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและจับมือกับพันธมิตรเพื่อรับประกันว่าเราจะเรียกเก็บบรรจุภัณฑ์พลาสติกให้มากกว่าที่เราจำหน่าย นั่นหมายถึงการป้องกันพลาสติกไปยังบ่อฝังกลบและรั่วไหลไปยังแหล่งน้ำ โดยการนำกลับเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ
นายโรเบิร์ต กล่าวต่อว่า ความร่วมมือกับแสนสิริถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน โครงการแยกไม่ยาก จะช่วยสร้างความเข้าใจและเป็นเครื่องมือเพื่อส่งเสริมให้ลูกบ้านในโครงการของแสนสิริคัดแยกพลาสติกจากครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซองหรือถุงเติมพลาสติกที่มีมูลค่าต่ำจากบ้าน ซึ่งทั้งหมดสามารถรวบรวมและแปรรูปให้สามารถใช้ใหม่อย่างมีความรับผิดชอบ
ขณะที่ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธานโครงการความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติก และขยะอย่างยั่งยืน (Public Private Partnership for Sustainable Plastic and Waste Management : (PPP Plastics)) กล่าวว่าโครงการนี้ เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแสนสิริ ยูนิลีเวอร์ และ PPP Plastics ที่จะช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง การสร้างจุดทิ้งและเชื่อมต่อ Network ตั้งแต่ผู้แยกและผู้นำไปรีไซเคิล เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้ตามเป้าหมายของ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561–2573 ของภาครัฐ
การดำเนินงานในครั้งนี้จะช่วยสร้างต้นแบบระบบการจัดการพลาสติกใช้แล้วที่สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green : BCG Model) ที่รัฐบาลกำหนดเป็นโมเดลเศรษฐกิจในการพัฒนาประเทศ อย่างยั่งยืนและเป็นวาระแห่งชาติ BCG โดยเฉพาะในส่วนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการลดมลพิษขยะพลาสติกในทะเลควบคู่กันไปด้วย ในขณะที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
สำหรับ waste to WORTH : แยกไม่ยาก เป็นแคมเปญภายใต้ความร่วมมือของแสนสิริ, ยูนิลีเวอร์และ PPP Plastics และพันธมิตรอีกมากมาย เพื่อส่งเสริมและสร้างความเข้าใจในการแยกพลาสติกตั้งแต่ต้นทางให้เกิดประโยชน์ ชวนลูกบ้านและทุกคน ‘ล้าง-ตาก-ทิ้ง’ ขยะพลาสติกแบบย่อยสลายไม่ได้ จำพวก HDPE เช่น ขวดนมขาวขุ่น, ขวดแชมพู, ขวดน้ำยาซักผ้าและขวดน้ำยาปรับผ้านุ่ม และถุงพลาสติกต่าง ๆ
เช่น ถุงผงซักฝอก, ถุงเติมน้ำยาซักผ้า, ถุงขนมปัง และถุงหูหิ้วพลาสติกยืด ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ของใช้ที่มีมากในที่พักอาศัย เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการแปรรูปอัพไซเคิลโดย ทีพีบีไอ และเอสซีจี เคมิคอลส์ ให้สามารถหมุนเวียนและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ อาทิ ของตกแต่งบ้าน และอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือด้านโควิด ชุด PPE และเตียงสนาม เป็นต้น
โดยลูกบ้านและทุกคนสามารถนำพลาสติกดังกล่าว มาแยกได้ที่จุด Drop Point บริเวณ Habito Mall ชั้น 1 และลูกบ้านแสนสิริที่เข้าร่วมในกว่า 50 โครงการสามารถนำส่งกับ Recycle Day หรือนิติฯ ในโครงการ ตั้งแต่วันนี้-31 ธันวาคม 2564
อ่านข่าวต้นฉบับ: แสนสิริ จับมือ ยูนิลีเวอร์ ผุดโครงการจัดการขยะสู่กระบวนการ Upcycle
Link : Read More
Tags : #ข่าวสังคม #ความรับผิดชอบต่อสังคม