หนังไซไฟไทยเรื่องใหม่ ‘Taklee Genesis’ ผลงานการกำกับของ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่กำลังเป็นที่พูดถึงในช่วงนี้ ตั้งแต่หนังยังไม่ทันได้เข้าฉาย จนล่าสุดผู้ชมหลาย ๆ คนก็อาจมีโอกาสได้ไปพิสูจน์หนังเรื่องนี้มาแล้วด้วยตาของตัวเอง หลังจากหนังเข้าฉายวันแรกเมื่อวันที่ 12 กันยายน คงนับได้ว่าเป็นความปกติที่หนังแต่ละเรื่องจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่กว่าจะเป็นหนังแต่ละเรื่องนั้นต่างต้องผ่านกระบวนการทำมาอย่างมากมาย BT BUZZ มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้กำกับ ‘Taklee Genesis’ อย่าง มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล และนักแสดงนำอย่าง พอลล่า เทย์เลอร์ (รับบท สเตลล่า), นีน่า-ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน (รับบท วาเลน), นารา เทพนุภา, พีค-ภูษิตา วัฒนากรแก้ว และ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ ที่จะมาพูดถึงเบื้องหลังการทำงานใน ‘Taklee Genesis’ ความท้าทายของนักแสดง และความท้าทายในการกำกับหนังเรื่องนี้ รีวิวนักแสดง ‘Taklee Genesis’ แต่ละคน โดย มะเดี่ยว มะเดี่ยว: น้องนีน่า (ณัฐชา…
The post สัมภาษณ์ ผู้กำกับและนักแสดง จาก ‘Taklee Genesis’ กับเบื้องหลังการทำหนังไซไฟไทยแห่งยุค appeared first on BT beartai.
หนังไซไฟไทยเรื่องใหม่ ‘Taklee Genesis’ ผลงานการกำกับของ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่กำลังเป็นที่พูดถึงในช่วงนี้ ตั้งแต่หนังยังไม่ทันได้เข้าฉาย จนล่าสุดผู้ชมหลาย ๆ คนก็อาจมีโอกาสได้ไปพิสูจน์หนังเรื่องนี้มาแล้วด้วยตาของตัวเอง หลังจากหนังเข้าฉายวันแรกเมื่อวันที่ 12 กันยายน คงนับได้ว่าเป็นความปกติที่หนังแต่ละเรื่องจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่กว่าจะเป็นหนังแต่ละเรื่องนั้นต่างต้องผ่านกระบวนการทำมาอย่างมากมาย
BT BUZZ มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้กำกับ ‘Taklee Genesis’ อย่าง มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล และนักแสดงนำอย่าง พอลล่า เทย์เลอร์ (รับบท สเตลล่า), นีน่า-ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน (รับบท วาเลน), นารา เทพนุภา, พีค-ภูษิตา วัฒนากรแก้ว และ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ ที่จะมาพูดถึงเบื้องหลังการทำงานใน ‘Taklee Genesis’ ความท้าทายของนักแสดง และความท้าทายในการกำกับหนังเรื่องนี้
มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
รีวิวนักแสดง ‘Taklee Genesis’ แต่ละคน โดย มะเดี่ยว
มะเดี่ยว: น้องนีน่า (ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน) เจอมาจากการที่ทีมงานเคยไปทําหนังเรื่อง ‘Cracked’ แล้วก็แนะนําน้องเขามาด้วยบทที่เป็นลูกครึ่ง แล้วก็เป็นลูกพี่พอลล่า (พอลล่า เทย์เลอร์) ทํางานกับน้องคือน้องเป็นเด็กที่เก่งมาก เป็นเด็กที่เหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก แต่ก็ยังมีความเป็นเด็ก น้องต้องเล่นหลายบท แล้วแต่ละอันก็มีความพิเศษในตัวของคาแรกเตอร์นั้น ๆ คือข้อดีของความเป็นเด็กของน้องคือเขาใส แล้วเขามีจินตนาการที่ยังบริสุทธิ์มาก ๆ โดยเฉพาะการเห็นสัตว์ประหลาด การเห็น CG เห็นอะไรมากมาย คือเขาจะเชื่อแบบเด็ก ๆ มันจะเหมือนว่าเราชวนเด็กมาเล่นกัน ตัวอะไรก็ไม่รู้ น้องก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ
พี่พอลล่า เคยร่วมงานกันมาจากซีรีส์เมื่อ 5-6 ปีก่อน ทั้งพี่พอลล่า และ พี่ปีเตอร์ (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) เราเคยเล่นด้วยกันแล้วเราเคยบอกพอลล่าว่า ถ้าเรามีหนังเราจะเอาพอลล่ามาเล่นนะ เพราะพอลล่าลุค Cinematic มากเลย แล้วเราก็หาโปรเจกต์ที่จะร่วมงานกันมาสักพักแล้ว จนกระทั่งมาเรื่องนี้ ทํางานกับพอลล่าเราจะได้ความเป็นแม่ที่เป็นธรรมชาติมาก ๆ จากตัวเขา เพราะเขาเป็นแม่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งจะไม่เหมือนตอนที่เคยเห็นเขาใน ‘เนื้อคู่ประตูถัดไป’ หรือ ‘รักจัง’ ซึ่งก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แล้วมันมีความสดใหม่ คือการเป็นแม่แบบปัจจุบัน แม่แบบคนรุ่นเดียวกับเรา เวลาเขาเล่นกับลูกมันดูเป็นธรรมชาติมาก แล้วก็ดูน่ารัก ตามเรื่องเขาต้องรักกันมาก แล้วพอมีเหตุอะไร เราจะรู้สึกเอาใจช่วย ซึ่งพอลล่าก็ทําตรงนี้ออกมาได้ดีมาก ๆ
น้องพีค (ภูษิตา วัฒนากรแก้ว) ในเรื่องเขาเป็นบุคคลในอนาคต น้องพีคเคยเจอกันตอน BNK ตอนนั้นนางเพิ่งเปิดตัวใหม่เลย ตอนนั้นลุคของเขาจะมีความเป็นสาวห้าว สาวเก๋ แล้วด้วยความที่เขาจะเล่นเป็นคนในอนาคต ยุคอีก 200 ปีข้างหน้า เขาจะมีลุคของความล้ำ (Futuristic) อยู่
น้องนารา (นารา เทพนุภา) ร่วมงานกันมาหลายรอบแล้ว เล่นหนังประหลาด ๆ ของพี่มาเยอะ เคยร่วมงานกันมา ก็ถามนาราว่ามาเล่นหนังให้พี่หน่อย นาราก็แบบได้เลยค่ะ พี่ก็บอก “เดี๋ยวสิ ยังไม่รู้เลยว่าเล่นเป็นอะไร เล่นใช่ไหม โอเค เอาบทไปดูนะ” คือตัวละครของนาราจะเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งในยุคที่ทุกอย่างล่มสลาย ในหนังคือสิ่งที่นางทํามันซับซ้อน แต่ก็ขอบคุณมากที่เล่นจนจบ
พี่ทราย (อินทิรา เจริญปุระ) เป็นนักแสดงที่ร่วมงานกับเรามาเยอะมาก แล้วรับบทแปลกประหลาดที่เราทําขึ้นมาโดยไม่เกิดคําถามอะไร ฟังดูเหมือนจะไม่ดี คืออย่างที่บอกกับทุกคนที่ร่วมโปรเจกต์นี้ว่า “เชื่อกู เชื่อกู เดี๋ยวมันจะดี เดี๋ยวมันจะดี เชื่อกู เชื่อกู” พออธิบายนาน ๆ เข้าไป คําถามก็จะเริ่มเกิดขึ้นในแววตา แล้วก็รู้สึกเหมือนเป็นคนบ้า เลยเป็นพี่ทรายครับที่จะมารับบทที่อาจจะไม่มีใครเล่นได้ในประเทศนี้ทั้งหมด กับบทที่ย้อนไปถึงยุค 5,000 ปีก่อนคริสตกาล
นักแสดงรีวิวผู้กำกับ (มะเดี่ยว) ในหนัง ‘Taklee Genesis’ และผลงานอื่น ๆ ที่ชื่นชอบ
นีน่า: พี่มะเดี่ยวที่เจอในกองน่ารักมาก ๆ เลยค่ะ
พอลล่า: พอลล่าเคยดู ‘รักแห่งสยาม’ มา แล้วก็จริง ๆ เราเคยร่วมโปรเจกต์ด้วยกันในซีรีส์ที่ถ่ายกับ วุ้นเส้น (วิริฒิพา ภักดีประสงค์) แล้วก็ชอบโปรเจกต์นั้น ชอบอันนั้นมาก พอพี่ (มะเดี่ยว) ติดต่อมา เขาก็โทรมาแล้วคุยกัน ตอนพี่มะเดี่ยวเล่าเรื่องนี้เขาอินมาก ฟังแล้วก็อินไปด้วย แต่ถามเราว่าเข้าใจมากไหมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือทําอะไรกันไม่รู้ ความยากของการถ่ายหนังเรื่องนี้คือภาพต่าง ๆ มันอยู่ในหัวพี่มะเดี่ยว เพราะฉะนั้นทุกวันเราต้องพร้อมเพื่อไปให้พี่มะเดี่ยวทาสี อธิบายว่าจะเป็นแบบนี้นะ เป็นแบบนี้
พีค: หนูชอบ ‘รักแห่งสยาม’ เหมือนกันค่ะ แล้วก็ ‘แสงกระสือ’ ทํางานกับพี่มะเดี่ยว จริง ๆ เคยทําไปตอนมิวสิกวิดีโอรอบหนึ่งแล้ว แล้วตอนนั้นก็ได้ความรู้เยอะมาก พอได้ลองมาทําเรื่องนี้ พี่มะเดี่ยวก็ให้คำแนะนําหลายเรื่องมากเลยค่ะ ตอนแสดงก็มีเสียงมีอะไรให้เราจินตนาการไปด้วยค่ะ
นารา: ของหนูที่ชอบคือ ‘ขวัญผวา’ เป็นเรื่องที่พูดทีไรก็มีความสุขทุกครั้ง มันอยู่ในใจแล้วก็เหมือนย้อนไปวันแรกที่พี่มะเดี่ยวโทรมา คือดีใจมาก เพราะว่าเฝ้ารอการทํางานกับพี่มะเดี่ยวอีกครั้งแบบสุด ๆ เพราะหนูชอบการทํางานแบบนี้มาก ๆ ค่ะ หนูรู้สึกว่าพี่มะเดี่ยวให้ความสําคัญกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะว่าหนูคือคนหนึ่งที่ไปทํางานเหนื่อย ๆ ก็อยากกินของอร่อย พี่มะเดี่ยวบอกว่าคนทํางานเหนื่อยจะให้กินของไม่อร่อยได้ยังไง คนอาจจะพูดถึงพี่มะเดี่ยวเรื่องการกํากับเรื่องนี้ไปเยอะแล้ว ของหนูคือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หนูได้รับ จากวันนั้นที่หนูอายุประมาณ 16-17 ปี หนูอยู่ ม.ปลาย มันเป็นเหมือนอีกผลงานหนึ่งที่อยู่ในใจหนู แล้วทําให้วันนั้นหนูกล้าบอกตัวเองว่า หนูอยากเป็นนักแสดงแบบจริง ๆ ขอบคุณค่ะ
ทราย: ต้องบอกว่าพี่มะเดี่ยว จริง ๆ รุ่น ๆ เดียวกัน เกิดปีติด ๆ กันเลยค่ะ มันค่อนข้างน่าตื่นเต้น สําหรับเรานะ ที่เห็นผู้กํากับในตอนนั้นที่มะเดี่ยวเดบิวต์ตั้งแต่ตอนอายุ 22 ปี ซึ่งอายุ 22 ปี ก็เท่าเราตอนนั้น เราก็ยังถือว่าค่อนข้างเป็นเด็กในวงการนะคะ แต่มันมีผู้กํากับที่ได้ทำโปรเจกต์หนังใหญ่แล้วอะ เราก็แบบแจ๋วว่ะ เราได้ดู ‘รักแห่งสยาม’ ซึ่งเรารู้สึกว่าคนที่อายุเท่า ๆ กันในเชิงผู้กํากับ เราไม่ค่อยเห็นใครที่ให้โมเมนต์ในการแสดงกับนักแสดงในแบบที่มันเป็นมนุษย์ค่ะ เป็นคนที่ให้พื้นที่กับการแสดงอย่างยิ่ง แล้วเรารู้สึกว่าถ้าได้ทํางานด้วยก็น่าจะสนุก เราเจอกันตอน ‘ขวัญผวา’ แล้วมะเดี่ยวเขาจะมีภาพที่เขาอยากให้ตัวละครของเขาเป็นอยู่ในหัว ซึ่งพอเราเข้าใจแล้ว หลาย ๆ ครั้งมันเลยเป็นความสนุกไปเลย แบบมะเดี่ยวบอกว่าเดี๋ยวกูจะเล่นให้ดู เล่นอย่างนี้ แล้วเราก็เลยเป็นความก้ำกึ่งระหว่างความเป็นผู้กํากับกับนักแสดง และความเป็นเพื่อนกับเพื่อน เราก็เลยมีความเชื่อลึก ๆ ด้วยว่า จริง ๆ แล้วหลายครั้งมะเดี่ยวอาจอยากเอาวิกเราไปใส่แล้วก็เล่นเอง เรารักความเป็นเขา (มะเดี่ยว) นิด ๆ ความแปลกหน่อย ๆ เราหลงรักความพังของคาแรกเตอร์ในตัวละครที่มะเดี่ยวรังสรรค์ขึ้นมา
พอลล่ามีการเตรียมตัวอย่างไรในการรับบทเป็น ‘แม่เลี้ยงเดี่ยว’ ?
พอลล่า: ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากเลยค่ะ เพราะเป็น (แม่เลี้ยงเดี่ยว) อยู่แล้ว แล้วพอมาเจอนีน่าเราก็มีเคมีที่จูนเข้ากันได้ มันเป็นธรรมชาติมาก ๆ เลยค่ะ แล้วมันก็ไปด้วยกันได้ง่ายค่ะ
การเลี้ยงลูกสไตล์พอลล่าเป็นอย่างไร ?
พอลล่า: เราว่า…เราก็ดุอยู่ตลอดเวลานะ แต่คนอื่นบอกว่าไม่ดุ สําหรับพอลล่า พอลล่าก็อาจจะมีแนะนําบ้าง แต่จะพยายามไม่ค่อยบอกเขาว่าต้องทําอะไร สุดท้ายก็ต้องให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วเราก็เหมือนคอยบอกเขาเฉย ๆ ว่าเดี๋ยวมันก็ดี เหมือนช่วยเขาเฉย ๆ
ทราย พัฒนาการแสดงของตนเองอย่างไร นับจากหนังเรื่อง ‘นางนาก’ มาจนถึงปัจจุบัน ?
ทราย: คือมันต้องไปเรื่อย ๆ นะคะ แต่ว่าเราเครียดน้อยลง ต้องบอกแบบนี้ดีกว่า คือแต่ก่อนมันจะเหมือนเครียดอยู่ตลอดเวลาว่ากลัวจะทําไม่ได้ กลัวจะทําไม่ได้แบบที่เขาต้องการ กลัวคนดูจะไม่เข้าใจ กลัวผู้กํากับจะไม่ผ่าน เดี๋ยวจะนั่น เดี๋ยวจะนี่ แต่ว่าพอเลยมาถึงจุดหนึ่งมันเหมือนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของหนัง แต่เราไม่ใช่หนังทั้งเรื่อง คือหนังเรื่องหนึ่งมันมีคนอีกเยอะมาก ๆ เราแค่เป็นพาร์ตหนึ่ง แล้วเรารู้สึกว่ามันสบายขึ้น มันง่ายขึ้น แล้วยิ่งมาอยู่ในตำแหน่งที่เราไม่ต้องแบกหนังทั้งเรื่อง อย่างเรื่องนี้ คุณพอลล่าก็คือ แบกหนังทั้งเรื่อง ส่วนฉันจะรังสรรค์ความพิสดารพิลึกอะไรยังไงออกมาก็ได้ ถ้ามากไปเดี๋ยวมะเดี่ยวก็ด่าเอง มันเลยเป็นความสบายในแบบนั้นค่ะ แล้วยิ่งเราอยู่ในกองที่เราสบายใจ อยู่ในมือของคนที่เราไว้ใจได้ เราจะรู้สึกโอเคมาก ๆ แล้ว ถามว่าพัฒนาได้ไหม มันคงเพราะว่าเดี๋ยวนี้บีตของหนังต่าง ๆ บีตที่เราคุ้นเคยในยุค 90 วิธีเล่าหนังมันไม่ได้เล่าอย่างนั้นแล้ว วิธีเล่นมันก็ต้องเปลี่ยน แต่ไม่ได้หมายความว่าอินเนอร์ข้างในหรือว่าวิธีเข้าสู่ตัวละครมันจะเปลี่ยนไป คําว่า ‘Method Acting’ เดี๋ยวนี้ก็มีความเข้าใจที่โดนแตกออกไปอีก มีการเช็กกลับมาว่าจริง ๆ แล้วมันคือวิธีที่ดีจริงหรือเปล่า หรือมันยังมีวิธีอื่น หรือเราจะต้องไปสายยุโรป หรือเราจะต้องไปอันนั้น เราจะต้องมีคําจํากัดความเยอะมากเลย แต่ว่าสุดท้ายแล้วแกนของการแสดงก็ยังเป็นเรื่องเดิมอยู่เสมอ ก็คือว่าคุณเชื่อในมัน แล้วก็คุณสามารถทํางานร่วมกับคนอื่นได้ เพราะว่ากองถ่ายคือมนุษย์ กองถ่ายมันคือผู้คน สมมติว่าแบบ ‘Method Acting’ มาก ฉันจะไม่พูดภาษาไทยกับใครเลย เพราะว่ามะเดี่ยวบรีฟว่าฉันจะต้องพูดภาษาบ้านเชียง สมมติแล้วยังไงวะ เราจะต่อบท ต่อคิว แล้วตากล้องจะรู้ไหมว่ากูจะเดินไปทางไหน คือถ้ามันจะสุดโต่งไปขนาดนั้น แล้วทํางานกับใครไม่ได้เลย เราว่ามันจะทําให้บรรยากาศไม่สนุก การไปกองคือการประคับประคอง แล้วไปด้วยกันทั้งแผง
การถ่ายหนังแบบไม่มีฉากจริง เป็นอย่างไร ?
พอลล่า: มันยากมากค่ะ เอาจริง ๆ ตอนที่เราถ่ายกันคือแค่มอง แล้วก็แค่รู้ว่าเดี๋ยวจะมีอะไรเกิดขึ้น มันยากกับความที่ไม่รู้ แต่ว่าก็เชื่อใจพี่มะเดี่ยว พี่ก็จะบอกว่าเล่นใหญ่อีก ๆ อะไรอย่างนี้
พีค: ของเราเขียวล้วนเลยค่ะ เขียวล้วนสุด ๆ เลย แล้วเราต้องมองไม้ด้วย แต่ว่าต้องมองให้ไม้มันสามารถขยับตัวได้ แล้วก็ตกใจ คือหนูกลัวค่ะ ด้วยความที่เป็นหนังเรื่องแรกของหนู แล้วได้เล่นกับ CG เลยรู้สึกท้าทายมาก ๆ แต่ว่าดีใจที่ได้เล่นกับพี่นารา พี่นาราก็คอยรับส่งอย่างดีมาก ๆ ค่ะ
นารา: พี่ก็ดีใจที่ได้เล่นกับน้องพีค หนูรู้สึกว่าหนูสนุกมาก แล้วมันอยากตื่นมาทํางานมากกว่า อยากรู้ว่าวันนี้เราจะได้เจออะไรบ้าง เราจะไปวิ่งที่ไหน ออกทางไหน คือเราถ่ายในโรงเหล็กค่ะ ก็รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่สนุก ถึงจะมีไม่กี่คิวแต่หนูรู้สึกว่ามันเต็มที่มาก ๆ ชอบซีน ชอบคิวสุดท้ายที่สุดที่ไปถ่าย เดือดจริง ๆ คือพวกเอฟเฟกต์ ปุ้งปั้ง เหมือนเราจะต้องรู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน ร้อนแค่ไหน
ทราย: ของเราถือว่าโชคดีที่อยู่ในที่จริง ได้จับ ได้เห็นอะไรที่เป็นของจริงบ้าง คนเป็นนักแสดงเราว่าทุกคนนะ จะรู้สึกเหมือนกันว่ากลัวอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่เล่นกับสิ่งที่มันจะขึ้นมาในทีหลังมันไม่บาลานซ์กัน คือแบบ (แสดง) กลัวซะใหญ่เลย มาดูทีหลังตัว (CG) แค่เนี้ย เราก็จะกลัว เพราะว่าเราจะไม่มั่นใจว่าที่เราเห็นเราคิดกับที่เขา (มะเดี่ยว) เห็นในหัวเขา มันเหมือนกันหรือเปล่า แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วทรายว่ามันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณของคน เพราะว่าที่นั่งอยู่ทั้งหมดเนี่ยไม่มีใครเคยเห็น (CG) หรอก สิ่งที่มันเกิดขึ้นในหนัง ต้องบอกว่ามันไม่มีใครเคยเห็นหรอก คนเดียวที่จะมีภาพชัดที่สุดคือมะเดี่ยว ก็เชื่อว่ามะเดี่ยวบรีฟทุกคนเหมือนกัน เรื่องความใหญ่โตก็อาจจะแล้วแต่ความสาหัสของแต่ละคน แต่ละสถานการณ์ที่ต้องเจอ ซึ่งพอเห็นภาพในหนังแล้วมันแบบโชคดีนะเนี่ยที่กูเล่นเท่าที่มึงบอก คือทุกคนที่เล่นอะยากกว่าเราอีก คือเรายังได้อยู่ในโลกจริง ยังมีของจริง อันอื่นคือเขียวล้วน ๆ อะไรก็ไม่รู้ ต้องหยิบ ต้องชี้ ชี้อะไรวะ มันว่างเปล่ามากค่ะ แล้วก็พูดอะไรก็ไม่รู้ยาวมาก น้อง ๆ เก่งมาก ดังนั้นมันไม่ได้ลดทอนความเป็นนักแสดงลงค่ะ มันเสริม มันทําให้สิ่งที่เราตกใจเฉย ๆ เห็นว่าเขาตกใจเพราะอะไร
เบื้องหลังการทำ CG ของหนังเรื่องนี้ เป็นอย่างไร ?
มะเดี่ยว: มันยากอยู่แล้วเรื่องนี้ ตั้งแต่วิธีคิด พอเรารู้ว่าเราสร้างโลกของ จ.อุดรธานี ทั้งแบบ 5,000 ปีก่อน ปัจจุบัน สงครามเวียดนาม แล้วก็อนาคต คือมันต้องคิดมาหลายระดับ วิชวลมันจะถูกคิดมาหลายระดับ วิชวลมันถูกคิดมาก่อนแล้ว แต่ไม่ให้ใคร (นักแสดงและคนอื่น ๆ) ดู ดูกวนเนาะ คือดีไซน์พวกนี้เราจะให้พวกทีมงานเบื้องหลังดู พวกทีมอาร์ต ซึ่งพวก CG และสัตว์ประหลาดก็ดีไซน์มาแล้ว แต่ ณ ตอนนั้นมันอาจจะยังไม่ 100% ซึ่งทางพี่เต้ย (ชาลิต ไกรเลิศมงคล) เขาก็บอกว่า “เอาเลยครับ เอาที่พี่มะเดี่ยวอยากทำไปเลย” สมมติเราถ่ายแค่ฉากเขียว เราก็ไม่ต้องมาคิดว่าอย่าขยับกล้องเยอะนะเว้ย เดี๋ยวมันจะไปทำต่อไม่ได้ ก็ทําทุกอย่างเหมือนปกติไปเลย ซึ่งเราต้องคิดภาพสัตว์ประหลาดในหัวเราก่อน ว่านักแสดงกําลังเล่นกับอะไรอยู่ แล้วเราก็จะพากย์เสียงแบบว่า “มาแล้ว แควก ๆๆ ไปทางซ้าย ไปทางขวา วิ่ง ตาย” อะไรอย่างนี้ แล้วทุกคนก็เล่นไปตามที่เราบอก คือถ้าเกิดทุกคนมาเห็นภาพ (เบื้องหลัง) มันจะตลกมาก มันจะแบบทําอะไรกันวะ ด้วยความที่มันคือสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็น เพราะถ้าใครเคยเห็นมาก่อน เขาจะไม่มีความพิศวงในแววตา ซึ่งเขาจะดีไซน์ออกมา ถ้าเราบอกว่ามันสูง 180 เซนติเมตร มันจะเท่านั้นเท่านี้ มันจะล็อกไว้ เราเลยบอกว่ามันเหมือนเราเห็นสิ่งที่เราไม่รู้มาก่อนว่ามันคืออะไร แล้วเราพยายามทําความเข้าใจมันอยู่ด้วยว่ามันคือตัวอะไร เวลาที่ตัวพวกนี้มันโผล่มา มันก็ต้องตกใจ สงสัย กลัว และเอาตัวรอด มันจะมีประมาณนั้น
ฝากหนัง ‘Taklee Genesis’
มะเดี่ยว: ‘Taklee Genesis’ เข้าฉาย 12 กันยายน ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศนะครับ ทั้งระบบ IMAX, Zigma CineStadium, Dolby Atmos และทุกระบบที่จะสร้างความประทับใจในประสบการณ์การชมภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่าลืมไปดูกันนะครับ
The post สัมภาษณ์ ผู้กำกับและนักแสดง จาก ‘Taklee Genesis’ กับเบื้องหลังการทำหนังไซไฟไทยแห่งยุค appeared first on BT beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/