ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่นั้น กลายเป็นอีกหนึ่ง Genre หนังทำเงินที่ทั่วทั้งโลกจับตามอง เพราะหนังกลุ่มนี้สามารถดึงดูดผู้ชมได้ทุกวัย จนสามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับสตูดิโอหนัง ซึ่งในแต่ละปี เรียกได้ว่าเรามีหนังฮีโร่มาให้ดูกันอย่างไม่ขาดสาย แม้ว่าในช่วงหลัง จะเห็นได้ว่ามีหนังฮีโร่ที่ไปไม่ถึงฝัน ทั้งขาดทุนหรือถูกระงับการสร้างบ้าง แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การมีอยู่ของหนังฮีโร่ช่วยให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ยังคงเดินหน้าต่อได้ ซึ่งหากจะพูดว่าหนังฮีโร่เรื่องไหน ที่วางรากฐานให้กับหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่างทุกวันนี้ คงต้องมี ‘Batman’ ของผู้กำกับทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) โผล่มาอย่างแน่นอน เพราะหนังเรื่องนี้ไม่เพียงเป็นการนำบุรุษค้างคาวมาตีความใหม่ แต่ยังใส่กลิ่นอายความมืดหม่นเข้าไปผสม ที่ทำให้คนดูเห็นว่า ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่สื่อสำหรับเด็กอย่างเดียว ในระหว่างที่ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton) ให้สัมภาษณ์กับทาง GQ ถึงการกลับมาแสดงภาคต่อของ ‘Beetlejuice’ อันเป็นหนึ่งในภาพยนตร์แจ้งเกิดของตน คีตันก็ได้กล่าวยกย่องทิม เบอร์ตันถึงการช่วยกรุยทาง เพื่อวางรากฐานให้หนังฮีโร่อย่างทุกวันนี้ ไมเคิล คีตันนับเป็นหนึ่งในนักแสดง ที่รับบทเป็นตัวละครในจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่มาแล้ว ทั้งจักรวาล Marvel และในจักรวาล DC โดยเขารับบทเป็นแบทแมน ในหนัง ‘Batman’ ของทิม เบอร์ตัน และรับบทเป็นวัลเจอร์ ในหนัง ‘Spider-Man: Homecoming’…
The post Michael Keaton ให้เครดิต เพราะ Tim Burton ถึงทำให้มียุคหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่างทุกวันนี้ได้ appeared first on BT beartai.
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่นั้น กลายเป็นอีกหนึ่ง Genre หนังทำเงินที่ทั่วทั้งโลกจับตามอง เพราะหนังกลุ่มนี้สามารถดึงดูดผู้ชมได้ทุกวัย จนสามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับสตูดิโอหนัง ซึ่งในแต่ละปี เรียกได้ว่าเรามีหนังฮีโร่มาให้ดูกันอย่างไม่ขาดสาย
แม้ว่าในช่วงหลัง จะเห็นได้ว่ามีหนังฮีโร่ที่ไปไม่ถึงฝัน ทั้งขาดทุนหรือถูกระงับการสร้างบ้าง แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การมีอยู่ของหนังฮีโร่ช่วยให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ยังคงเดินหน้าต่อได้ ซึ่งหากจะพูดว่าหนังฮีโร่เรื่องไหน ที่วางรากฐานให้กับหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่างทุกวันนี้ คงต้องมี ‘Batman’ ของผู้กำกับทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) โผล่มาอย่างแน่นอน เพราะหนังเรื่องนี้ไม่เพียงเป็นการนำบุรุษค้างคาวมาตีความใหม่ แต่ยังใส่กลิ่นอายความมืดหม่นเข้าไปผสม ที่ทำให้คนดูเห็นว่า ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่สื่อสำหรับเด็กอย่างเดียว
‘Batman’ ของผู้กำกับทิม เบอร์ตัน
ในระหว่างที่ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton) ให้สัมภาษณ์กับทาง GQ ถึงการกลับมาแสดงภาคต่อของ ‘Beetlejuice’ อันเป็นหนึ่งในภาพยนตร์แจ้งเกิดของตน คีตันก็ได้กล่าวยกย่องทิม เบอร์ตันถึงการช่วยกรุยทาง เพื่อวางรากฐานให้หนังฮีโร่อย่างทุกวันนี้
เขาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง และทิมสมควรได้รับเครดิต (ในการสร้างยุคซูเปอร์ฮีโร่) มากกว่านี้ ใช่! มันอาจจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่ แต่จะไม่มีทั้งจักรวาลหนัง Marvel และจักรวาลหนัง DC เลย ถ้าหากไม่มี ‘ทิม เบอร์ตัน’
— ไมเคิล คีตัน
ไมเคิล คีตันนับเป็นหนึ่งในนักแสดง ที่รับบทเป็นตัวละครในจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่มาแล้ว ทั้งจักรวาล Marvel และในจักรวาล DC โดยเขารับบทเป็นแบทแมน ในหนัง ‘Batman’ ของทิม เบอร์ตัน และรับบทเป็นวัลเจอร์ ในหนัง ‘Spider-Man: Homecoming’ ซึ่งล่าสุด คีตันก็เพิ่งกลับมารับบท ‘Batman’ อีกครั้งในหนัง ‘The Flash’ และ ‘Batgirl’ ที่ถูกยกเลิกการฉายไป
บทผีซุกซนที่ปลุกตัวตนแห่งรัตติกาล
‘Beetlejuice’
มิตรภาพระหว่างทิม เบอร์ตัน และไมเคิล คีตันเริ่มต้นในช่วงปลายยุค 80 ซึ่งในช่วงเวลานั้นเบอร์ตันกำลังเป็นผู้กำกับที่มือขึ้น ซึ่งเขามองหานักแสดงเพื่อรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง ‘Beetlejuice’ (1988) โดยเขาต้องการนักแสดงตลก ที่สามารถนำอารมณ์ขัน และความน่ากลัวมาสู่ตัวละครหลักได้ ซึ่งคีตันก็เริ่มโด่งดังจากหนังคอเมดีอย่าง ‘Mr. Mom’ และ ‘Night Shift’ ในช่วงนั้นพอดี เบอร์ตันจึงได้เลือกคีตันเข้ามาเล่นในบทบีเทิลจูซ ซึ่งเป็นผีซุกซนที่ชอบก่อความวุ่นวาย
ในระหว่างถ่ายทำ ‘Beetlejuice’ นั้น ทิม เบอร์ตันก็ถูกชะตารอยยิ้มของไมเคิล คีตันเข้าอย่างจัง ซึ่งไม่ใช่เพราะพิศวาสอะไรหรอกนะ ทว่าเป็นเพราะรอยยิ้มของคีตันมีบางอย่างที่น่าค้นหา แม้ว่าเบอร์ตันจะไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้ได้ แต่เขาก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า คีตันเสมือนชายผู้มีเสน่ห์ในบาร์ ถ้าคุณเป็นผู้หญิง แล้วเห็นรอยยิ้มที่เย้ายวนนั้น แม้จะน่าสนใจแค่ไหน ก็ไม่ควรไปเล่นด้วยเด็ดขาด เพราะรอยยิ้มนี้อาจนำปัญหามาให้ภายหลังได้
หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘Beetlejuice’ ประสบความสำเร็จ ทิม เบอร์ตันก็ได้รับการติดต่อจาก Warner Bros ให้มากำกับโปรเจกต์ ‘Batman’ โดยเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากซูเปอร์ฮีโร่ชื่อดังของ DC Comics โดยหนังเรื่องนี้ใช้งบที่สูงมาก ทำให้สตูดิโออยากได้พระเอกนักบู๊มากกว่า แต่เบอร์ตันก็ตัดสินใจเลือกไมเคิล คีตันให้มารับบทเป็นบรูซ เวย์น/แบทแมน ซึ่งสร้างความหนักอกหนักใจให้กับสตูดิโออย่างมาก เพราะในเวลานั้นคีตันไม่ได้เป็นที่รู้จักจากบทบาทแอ็กชันหรือดราม่าเลย
ทว่าก็ไม่มีใครที่มองเห็นภาพของ ‘Batman’ ได้เท่ากับทิม เบอร์ตันอีกแล้ว โดยเขาตั้งความหวังว่า จะปฏิวัติหนังฮีโร่นับจากนี้ใหม่ เพราะถึงแม้จะมีต้นแบบมาจากการ์ตูนก็จริง แต่หนังมันต้องมีความมืดมน และจริงจังไปพร้อมกัน ซึ่งเบอร์ตันอธิบายว่า ผู้ชมต้องเชื่อในตัวบรูซ เวย์น ซึ่งนักแสดงจะต้องสามารถโน้มน้าวให้คนดูเชื่อว่าบรูซ เวย์นคือคนที่มีแรงผลักดัน และหมกมุ่นถึงขั้นเป็นโรคจิตแต่งชุดค้างคาว โดยเขาเห็นแววตานั้นจากไมเคิล คีตันนี่แหละ
ไมเคิล คีตันเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะผมมองเห็นแววตา (ของแบทแมน) ตอนที่เขาอยู่ในชุดบีเทิลจูซ มันเหมือนกับว่าถ้าหมอนี่สวมชุดค้างคาว เขาต้องใส่เพราะจำเป็นต้องทำ ไม่ใช่ใส่เพราะเขาตัวโต และแข็งแรง
— ทิม เบอร์ตัน
ภาพจำความดาร์ค ที่มาจากวิสัยทัศน์
การตัดสินใจนี้ถูกต้องมาก เพราะต้องพูดว่าก่อน ‘Batman’ ของทิม เบอร์ตันจะมานั้น แบทแมนเป็นตัวละครที่ในสมัยนั้นแทบไม่มีภาพจำด้านมืดเลย โดยคนยุคนั้นมักจะรู้จักแบทแมนในแง่ของซีรีส์เบาสมองของอดัม เวสต์ (Adam West) ในยุค 60 ซะมากกว่า ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่โด่งดังที่สุดของตัวละครนี้ สำหรับผู้ชมทั่วไป
Batman เวอร์ชันของ อดัม เวสต์
ทว่าความจริงแล้วแบทแมนควรโฟกัสที่ความมืดมน เพราะตัวละครบรูซ เวย์นเป็นคนที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทางใจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เนื่องจากเห็นพ่อแม่ของตนถูกฆาตกรรมต่อหน้าต่อตา การเน้นไปที่ด้านมืดภายในตัวบรูซ และวิธีที่ด้านมืดนั้นหล่อหลอมให้เขากลายมาเป็นแบทแมนนั้น ช่วยให้เบอร์ตันเห็นว่าแนวทางของหนังฮีโร่ต่อจากนี้จะเป็นยังไง
การปรับให้หนัง ‘Batman’ มาโฟกัสที่บรูซ เวย์น ทำให้เบอร์ตันสามารถถ่ายทอดแบทแมนออกมาในมุมมองที่มืดหม่นมากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ทำให้แบทแมนกลายเป็นฮีโร่ที่เข้าถึงได้ แม้ว่าเขาจะเป็นมหาเศรษฐี และเป็นนักปราบปรามอาชญากรรมก็ตาม
ซึ่งนี่แหละเป็นสิ่งที่โน้มน้าวใจให้ไมเคิล คีตัน ยอมมารับบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่ เพราะทิม เบอร์ตันได้กล่าวกับพระเอกของตนว่า
ไมเคิล ถ้าเราจะสร้างหนังซูเปอร์ฮีโร่จากหนังสือการ์ตูนที่มืดหม่น และจริงจัง หนังเรื่องนี้ไม่ควรเป็นเรื่องของแบทแมน แต่หนังเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องของบรูซ เวย์น
— ทิม เบอร์ตัน
โปรดิวเซอร์ของ ‘Batman’ ได้อธิบายว่าสิ่งนี้คือตัวเปลี่ยนเกมของยุค เพราะการตัดสินใจของเบอร์ตันที่จะให้แบทแมนในปี 1989 โฟกัสที่บรูซ เวย์นมากกว่าบุคลิกซูเปอร์ฮีโร่ของเขา ได้กลายเป็นรากฐานของการสร้างภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่จากหนังสือการ์ตูนที่มืดหม่น และมันก็ได้ นำคอมิกส์มาสู่โลกยุคใหม่
แต่มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น
รากฐานของความเป็นมนุษย์ในหนังซูเปอร์ฮีโร่
การเลือกคีตันมาเล่นเป็นแบทแมน เรียกได้ว่าค้านสายตาทั้งค่ายหนัง และแฟนคอมิกส์อย่างมาก เพราะไม่มีใครคิดว่าไอ้หนุ่มทะเล้นคนนี้ จะเล่นเป็นฮีโรที่แสนจริงจังได้ โดยมีผู้คนกว่า 50,000 คนเขียนจดหมายถึง Warner Bros เพื่อประท้วงให้เลือกนักแสดงใหม่เลยทีเดียว ซึ่งคิดดูว่าในยุค 80 ที่ยังใช้การส่งจดหมายเป็นหลัก การรวมรายชื่อถึง 50,000 คนนั้น มันนับเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน
ทว่าทิม เบอร์ตันก็ไม่เปลี่ยนใจ เขาตกหลุมรักในพลังงานบางอย่างของไมเคิล คีตัน ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เบอร์ตันอยากให้เขารับบทเป็นแบทแมน เพราะเพียงแค่สบตา เบอร์ตันก็รู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้ ทั้งฉลาด บ้า และน่ากลัวในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบสำหรับซูเปอร์ฮีโร่ที่เจิดจรัสในเงามืด
อย่างที่เราทราบกันดี เมื่อ ‘Batman’ ได้เข้าฉาย หนังก็สามารถเอาชนะทุกคำวิจารณ์ได้ และส่งให้ไมเคิล คีตันกลายเป็นหนึ่งในแบทแมนที่ดีที่สุดตลอดกาล ซึ่งความสำเร็จของ ‘Batman’ ได้วางรากฐานให้กับหนังซูเปอร์ฮีโร่ใหม่ เพราะหนังฮีโร่นั้น จะเน้นการขับเคลื่อนอีกมุมของชีวิตมากกว่าจะเน้นด้านฮีโร่ ยกตัวอย่าง ‘Spider-Man’ ที่จะโฟกัสชีวิตของปีเตอร์มากกว่าพาร์ตของไอ้แมงมุม หรืออย่าง ‘Iron Man’ ที่จะไปโฟกัสด้านความเป็นมนุษย์ของโทนี สตาร์ค มากกว่าจะโชว์ด้านการใช้ชุดเกราะ ซึ่งสิ่งนี้เน้นย้ำว่ารากฐานที่ขับเคลื่อนพาร์ตมนุษย์ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ ช่วยให้หนังเข้าถึงคนมากขึ้น ดังเช่น ‘Batman’ ที่เน้นขับเคลื่อนเรื่องราวของบรูซ เวนย์เป็นหลักนั่นเอง
ไมเคิล คีตัน เขายังคงเป็น และจะเป็นแบทแมนสำหรับผมมาตลอดไป อย่าเข้าใจผมผิดล่ะ ผมรักนักแสดงทุกคนที่เล่นเป็นแบทแมนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะแบบไลฟ์แอ็กชันหรือแอนิเมชันก็ตาม เพียงแต่คีตันเป็นแบทแมนคนแรกที่จริงจังสำหรับผม
— ทิม เบอร์ตัน
ทิม เบอร์ตัน และไมเคิล คีตันจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในภาคต่อของ Beetlejuice ซึ่งเป็นการกลับมาร่วมงานในรอบหลายปีของทั้งคู่ โดยแม้ว่าสตูดิโอจะมีการพูดคุยถึงการให้ไมเคิล คีตัน กลับมาสวมชุดแบทแมนอีกครั้ง แต่อนาคตของเขาก็ยังไม่แน่นอน ซึ่งถ้าอยากกลับมาสัมผัสหนึ่งในผลงานแจ้งเกิดของทั้งคู่ ก็ไปรับชมใน ‘Beetlejuice Beetlejuice’ กันได้
The post Michael Keaton ให้เครดิต เพราะ Tim Burton ถึงทำให้มียุคหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่างทุกวันนี้ได้ appeared first on BT beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/