
สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เผยผลการวิจัยใหม่ คนไทยอ่านหนังสือ 2 ชั่วโมงต่อวัน ไม่มีแล้ว 8 บรรทัดต่อปี
The post สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เผยคนไทยอ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัดต่อปีแล้ว appeared first on BT beartai.
สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เผยผลการวิจัยใหม่ คนไทยอ่านหนังสือ 2 ชั่วโมงต่อวัน ไม่มีแล้ว 8 บรรทัดต่อปี อีกเรื่องน่าทึ่งคือผู้ใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไปอ่านอีบุ๊กมากกว่าเด็ก เพราะสายตายาว อีบุ๊กซูมได้
ความท้าทายในอุตสาหกรรมหนังสือของไทย
รายได้ที่หดตัวอย่างน่าใจหาย
จากข้อมูลของสมาคมผู้จัดพิมพ์และจัดจําหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ธุรกิจหนังสือเคยมีมูลค่า ตลาดสูงที่สุดประมาณ 25,000 ล้านบาทในปี 2557 ก่อนที่จะลดมูลค่าลงจนถึงจุดต่ำที่สุดประมาณ 12,000 ล้านบาทในปี 2563 โดยการลดลงอย่างมากนี้มีปัจจัยหลักจากการถดถอยและสูญหายไปของตลาด หนังสือพิมพ์และนิตยสาร ล่าสุดในปี 2566 พบว่ามูลค่าตลาดรวมของหนังสือ ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ ประมาณ 17,000 ล้านบาท สอดคล้องกับตัวเลขรายได้รวมจากงบการเงินของบริษัทที่ผลิตและจัดจําหน่าย
ราคาหนังสือที่สูงขึ้น
ต้นทุนการผลิตหนังสือในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมากจากสองปัจจัย ส่วนแรกคือต้นทุนภายนอกอันเกิดจากราคา กระดาษทั้งกระดาษนําเข้าซึ่งเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 40% นับตั้งแต่ปี 2563 ที่ค่าระวางขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้นสูง ส่วนผลิตภัณฑ์กระดาษภายในประเทศก็มีไม่เพียงพอต่อการใช้งานและยังมีต้นทุนค่าขนส่งที่สูง
อีกส่วนหนึ่งคือ ปัจจัยต้นทุนภายในของกระบวนการผลิตหนังสือ ทั้งค่าต้นฉบับ ภาพประกอบ บรรณาธิการ ค่าแรงต่างๆ ซึ่ง เมื่อจํานวนเล่มพิมพ์ต่อครั้งน้อยลง ต้นทุนคงที่ (Fix Cost) ที่สูงไม่สามารถกดค่าเฉลี่ยหารกับต้นทุนแปรผัน (Variable Cost) ยิ่งทําให้ราคาหนังสือต่อเล่มสูงขึ้น เป็นอุปสรรคต่อผู้อ่านจนไม่สามารถซื้อหนังสือที่ต้องการได้เพียงพอ
และยิ่งคนซื้อหนังสือน้อยลง จํานวนเล่มพิมพ์ก็ยิ่งน้อยลง ราคาก็จะแพงขึ้นเป็นวัฏจักรเลวร้ายที่ปิดกั้น และทําลายอุตสาหกรรมและภาพรวมการอ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือเด็ก อย่างไรก็ตาม หนังสือบาง ประเภทได้กลายเป็นสินค้าสะสม และยังเป็นที่ต้องการของผู้อ่านแม้จะมีราคาสูง เช่น หนังสือภาพ หนังสือ นิยายที่มีสินค้าพรีเมียมประกอบ เป็นต้น
AI ในวงการหนังสือ
ความท้าทายล่าสุดประการหนึ่งของวงการหนังสือ คือการเข้ามาของระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถรวบรวม ประมวลผล ตอบคําถาม เขียน วาด ออกแบบ และแปลหนังสือ ข้อเขียนต่างๆ และแสดงความคิดเห็นได้ดียิ่งขึ้น ตามลําดับพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อบุคลากรในอุตสาหกรรมหนังสือทุกขั้นตอน และยังเป็นที่ ถกเถียงในด้านการละเมิดลิขสิทธิ์ของผลงานสร้างสรรค์ที่มนุษย์ได้ทําขึ้นมาก่อนด้วย ทุกคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และทํางานในด้านหนังสือ งานเขียน ศิลปะ และการสร้างสรรค์ จึงควรร่วมกันอภิปรายและถูกกันถึงผลกระทบ และมาตรการรับมือกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทั้งในแบบ Large Language Model และแบบอื่นที่ใหม่และ ยังเติบโตไม่หยุดยั้ง อีกทั้งเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Neural Link ที่จะส่งผ่านข้อมูลความรู้เนื้อหาเข้าสู่สมอง โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านการอ่าน ดู ฟัง หรือสัมผัสอีกต่อไป หนังสือกระดาษหรือแม้แต่หนังสืออิเล็กทรอนิกส์จึง อาจล้าสมัยในอีกไม่นานนี้ แต่การคิดสร้างสรรค์บอกเล่าเนื้อหายังคงมีอยู่ในรูปแบบอื่นต่อไป
พฤติกรรมการการอ่านหนังสือของคนไทยปี 2024 เป็นอย่างไร
นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ และผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (PUBAT)
นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ และผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (PUBAT) กล่าวว่า แม้หนังสือเล่มจะมีราคาสูงขึ้น แต่คนไทยก็ไม่ได้อ่านน้อยลง จากการศึกษาของคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัยซึ่งร่วมกับ PUBAT ในต้นปี 2567 พบว่า คนไทยใช้เวลากับการอ่านต่อวันมากถึงวันละ 2 ชั่วโมง โดยการอ่านในที่นี้รวมถึงการอ่านทุกรูปแบบทั้งข้อมูลข่าวสารในโซเชียลมีเดียและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
และยังพบว่าผู้สูงวัยอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเนื่องจากสามารถขยายตัวอักษร รวมถึงให้ระบบอ่านออกเสียง ให้ฟังได้ กลับกันเด็กและวัยรุ่นกลับอ่านหนังสือเล่มมากกว่าผู้สูงอายุ โดยเฉพาะหนังสือการ์ตูนและหนังสือ นิยาย ส่วนกลุ่มอายุที่อ่านน้อยที่สุดคือกลุ่มคนวัยทํางาน เนื่องจากมีภาระหน้าที่ทางการงาน และภาระ ค่าใช้จ่ายทําให้ไม่มีเวลากับการอ่านต่างจากกลุ่มเด็ก วัยรุ่น และผู้สูงวัย
โดยประเภทหนังสือหนังสือไทยมีผู้อ่านมากที่สุด ได้แก่ หนังสือการ์ตูน มังงะ, นิยาย, หนังสือจิตวิทยา-ฮาวทู ให้กําลังใจ, และธรรมะ
ขณะเดียวในยุคปัจจุบันที่มีสื่อออนไลน์เข้าถึงคนได้จำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดผู้ผลิตเนื้อหาและพิมพ์หนังสือที่เป็น ความสนใจเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ออกสู่ตลาดมากขึ้นโดยการพิมพ์ด้วยตนเอง (Self-published) ไม่ว่าจะเป็นนวนิยายแนว BL GL หรือ เควียร์ การ์ตูนเฉพาะทาง หนังสือการลงทุน จิตวิทยา และหนังสือของคนดัง เซเลบริตี้ อินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ กลายเป็นตลาดย่อยที่แตกกระจาย (Fragmented Market) ที่หนังสือมีราคาสูงขึ้นจากจํานวนพิมพ์ต่อครั้งต่ำแต่ยังมีตลาดผู้อ่านเฉพาะทางรองรับ
กลยุทธ์และทิศทางการสนับสนุนธุรกิจหนังสือ
นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ และผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
นโยบายจากภาครัฐที่ควรมี
นายธีรภัทร เจริญสุข กรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์และจัดจําหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เผยว่า ปัญหาสําคัญที่ได้รับเสียงเรียกร้องมากที่สุดเกี่ยวกับหนังสือคือการเข้าถึงหนังสือ
โดยเฉพาะเรื่อง ราคาหนังสือ ซึ่งรากฐานสําคัญมาจากจํานวนพิมพ์ที่น้อยลง ซึ่งนโยบายที่ตรงจุดและแก้ปัญหาได้มากที่สุด คือ การเพิ่มอุปสงค์ผ่านการขยายห้องสมุดหรือศูนย์การเรียนรู้ และตั้งงบประมาณจัดซื้อหนังสือเพื่อบริการให้แก่ประชาชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มจํานวนพิมพ์ ลดราคาต่อเล่มลงทันที
อย่างไรก็ตาม การจัดซื้อหนังสือจํานวนมากจากภาครัฐที่ ผ่านมามักเกิดปัญหาการทุจริต ดังนั้นการจัดซื้อหนังสือควรมาจากความคิดเห็นของผู้ใช้บริการ รวมถึงจาก ประชาชนในเขตที่ห้องสมุดนั้นตั้งอยู่มากกว่าจะเป็นกรรมการที่มีอํานาจในการจัดหาหนังสือ
หรืออาจใช้วิธีการ ให้คูปองซื้อสินค้าหนังสือหรือสินค้าวัฒนธรรมแก่เด็กและเยาวชนไปเลือกซื้อหนังสือจากร้านตามใจชอบ ดังเช่น ตัวอย่างของฝรั่งเศส ไต้หวัน หรือทุนในโครงการหนึ่งอ่านล้านตื่นที่ PUBAT ดําเนินการอยู่ ในส่วนของนโยบาย อื่นที่สามารถช่วยเหลือวงการหนังสือ ก็เป็นไปได้ทั้งนโยบายอุดหนุนทางภาษี เงินกู้ต้นทุนต่ําแก่ผู้ผลิต การ ลดหย่อนภาษีโดยการซื้อหนังสือ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มกระดาษพิมพ์หนังสือและบริการจัดพิมพ์หนังสือ การทํา วิจัยข้อมูลด้านหนังสืออย่างละเอียด ส่งเสริมการแปลหนังสือไทยออกไปต่างประเทศ รวมถึงการส่งเสริมงาน เขียนและหนังสือไทยให้แพร่หลายผ่านสื่อบันเทิงต่างๆ นอกจากหนังสือด้วย โดยการขับเคลื่อนนโยบายด้าน หนังสือ จําเป็นต้องมีเจ้าภาพหน่วยงานรับงบประมาณเพื่อดําเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ คือการจัดตั้งสถาบันหนังสือแห่งชาติขึ้นภายใต้องค์กรวัฒนธรรมสร้างสรรค์แห่งประเทศไทย (THACCA)
หนังสือแปลท่วมตลาดหนังสือไทย รับมือและใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร
จากข้อมูลของ PUBAT เราทราบว่า 70% ของยอดขายหนังสือในไทย เป็นหนังสือการ์ตูนกับนิยาย และเมื่อ ประกอบกับจากข้อมูลของหอสมุดแห่งชาติ พบว่าในปี 2566 มีวรรณกรรมแปลตีพิมพ์ในไทยจํานวน 4,254 ปก ในขณะที่วรรณกรรมไทยตีพิมพ์เพียง 2,102 ปก และหนังสือการ์ตูน 4,205 ปกส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือการ์ตูนที่ แปลมาจากต่างประเทศ ส่วนหนังสือประเภทอื่น เช่น หนังสือจิตวิทยา การเงิน หนังสือเด็กและเยาวชน ก็มี สัดส่วนการแปลจากต่างประเทศในอัตราสูง เราอาจประมาณการคํานวณต่อได้ว่า ตลาดหนังสือไทยมากกว่า 60% เป็นหนังสือแปลจากต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น จีน และเกาหลี ที่ครองตลาดอยู่ตามลําดับ อย่างไรก็ ตาม การหาตัวเลขสัดส่วนหนังสือแปลต่อหนังสือไทย ประเทศที่มาของหนังสือ รวมถึงมูลค่าการซื้อลิขสิทธิ์ที่แน่ชัด ควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียดเพื่อนําข้อมูลมาใช้เจรจาต่อรอง ขอรับผลประโยชน์ ทุน หรือการ สนับสนุนด้านหนังสือและการอ่านกับองค์กรด้านหนังสือและวัฒนธรรมของต่างชาติต่อไป รวมถึงยังสามารถใช้ ยอดซื้อเข้านี้แลกเปลี่ยนกับการแปลหนังสือไทยขายลิขสิทธิ์ออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งควรได้รับการสนับสนุน จากภาครัฐในการแปล ทั้งโดยการให้ทุนแปลหนังสือกับสํานักพิมพ์ต่างชาติ หรือทุนแปลแก่สํานักพิมพ์และนักเขียนไทยเพื่อลงขายแบบดิจิทัลในแพลตฟอร์มระดับสากล
ร้านหนังสือที่เป็นมากกว่าร้านขายหนังสือ งานหนังสือที่ต้องเป็นมากกว่างานขายหนังสือ
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของผู้อ่านเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั้งในด้านสื่อที่ใช้อ่าน หนังสือ และช่องทางการซื้อหนังสือ ร้านหนังสือและงานหนังสือแบบเดิมย่อมถูกบังคับให้เกิดการปรับตัวและ เปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ร้านหนังสืออิสระหรือแม้แต่ร้านแฟรนไชส์ปิดตัวลงหรือมีสินค้าที่ไม่ใช่หนังสือ ขายเป็นสัดส่วนมากขึ้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกันกับวงการหนังสือทั่วโลก แม้ว่าจํานวนคนที่เข้า ร่วมงานหนังสือยังมีมากถึง 1.4 ล้านคนแต่ก็ลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2561 ที่เคยมีมากถึง 2 ล้านคน ข้อพูดคุย จากสมาคมผู้จัดพิมพ์สากล (International Publishers Association) และองค์กรเนื้อหาสร้างสรรค์ของไต้หวัน (TAICCA) มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า กิจการร้านหนังสือที่ยังจะอยู่ต่อได้ในอนาคตต่อจากนี้ ต้องมี กิจกรรมที่มากกว่าการขายหนังสือ เป็นชุมชนแห่งการอ่าน ของคนรักหนังสือ รวมถึงการจัดงานหนังสือ (Book Fair) ที่ต้องเปลี่ยนแปลงจากงานขายหนังสือ ให้กลายเป็นงานพบปะสังสรรค์ระหว่างผู้ผลิตหนังสือ ผู้ผลิต เนื้อหาทั้งนักเขียน นักวาด และผู้สร้างสรรค์ผลงานอื่นและผู้อ่านผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยน ดังกล่าวยังต้องหาจุดสมดุลและตอบโจทย์ความคุ้มค่าการลงทุนของทั้งผู้จัดพิมพ์จัดจําหน่ายและผู้จัดงาน เพราะจะเป็นการเพิ่มต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่สามารถรับประกันว่ารายได้ส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นจะคุ้มค่าหรือไม่
ภาคการเงินสนับสนุนนิสัยรักการอ่านคนไทยได้อย่างไร?
นายธีรพจน์ โชคอนันตัง ผู้อำนวยการ การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัทบัตรกรุงไทย (จำกัด) มหาชน
นายธีรพจน์ : เคทีซีตระหนักถึงความสําคัญของการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นกุญแจสําคัญในการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ในทุก กลุ่มสาระ จึงมุ่งมั่นให้การสนับสนุนคนไทยรักการอ่าน และส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาบุคคล และสังคมให้มีคุณภาพอย่างยั่งยืน อีกทั้งสอดคล้องกับทางภาครัฐที่ได้ยกระดับความสําคัญของนโยบายการ ส่งเสริมการอ่านให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมให้สํานักพิมพ์ผลิตและพัฒนาหนังสือให้ดีมีคุณภาพ และกระตุ้นให้คนไทยเห็นความสําคัญของการอ่านอย่างจริงจัง
เคทีซีจึงร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ซึ่งหมายรวมถึง สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จําหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ร้านค้าหนังสือ สํานักพิมพ์ชั้นนําทั่วประเทศ จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย และกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งใน กรุงเทพฯและต่างจังหวัด มากกว่า 35 โครงการ ผนวกกับการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการรณรงค์ เช่น การมอบ สิทธิประโยชน์ส่วนลดสูงสุด 15% ณ ร้านค้าพันธมิตรและช่องทางการจําหน่ายออนไลน์ การใช้ e-coupon การ ใช้คะแนนสะสมเคทีซีแลกรับเครดิตเงินคืน 18% จากอัตราปกติ 10% และสําหรับลูกค้าที่ซื้อปริมาณมาก บริษัทยังมอบสิทธิประโยชน์เพื่อแบ่งเบาภาระการชําระคืน ด้วยบริการผ่อนชําระกับบัตรเครดิต KTC ในอัตรา ดอกเบี้ยพิเศษ 0.69% ต่อเดือน จากอัตราปกติที่ 0.80% ต่อเดือน นานสูงสุด 10 เดือน
โดยในปีที่ผ่านมาทางเคทีซีมีจํานวนสมาชิกบัตรที่ใช้จ่ายที่สํานักพิมพ์หรือร้านหนังสือ 160,456 ราย โดยใช้ งบประมาณในการสนับสนุนการแลกคะแนนอัตราพิเศษและดอกเบี้ยพิเศษประมาณ 2 ล้านบาท (1.98 ล้านบาท)
นายธีรภัทร เจริญสุข กรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์และจัดจําหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (คนที่ 1), นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ และผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (PUBAT) (คนที่ 2), นายธีรพจน์ โชคอนันตัง ผู้อำนวยการ การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัทบัตรกรุงไทย (จำกัด) มหาชน (คนที่ 3)
The post สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เผยคนไทยอ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัดต่อปีแล้ว appeared first on BT beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/