เมือ่พี่ชายถูกจับไปดูดพลังการร้องเพลง แบรนช์ โทรลหนุ่มของเราจำต้องวางความบาดหมางกลับไปแท็กทีมกับบอยแบนด์วงเก่าเพื่อช่วยเหลือพี่ชายของเขาก่อนจะสายเกินไป
The post [รีวิว] Trolls Band Together – เมื่อโทรลส์มาดักแก่วัยรุ่นยุค 2000 appeared first on #beartai.
กลับมาเป็นภาคที่ 3 แล้วสำหรับแอนิเมชันน่ารักเพลงไพเราะอีกหนึ่งเรื่องของสตูดิโอดรีมเวิร์คส์ที่คราวนี้ยังได้ จัสติน ทิมเบอร์เลค (Justin Timberlake) กับ แอนนา เคนดริค (Anna Kendrick) มาให้เสียงแบรนช์และป๊อบปี้ โทรลส์คู่รักที่คราวนี้เรื่องราวจะเน้นไปที่ชีวิตในอดีตของแบรนช์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือการเป็นอดีตบอยแบนด์ที่ต้องบาดหมางกับเหล่าพี่ชายจนเป็นปมในใจ
แต่เมื่อ ฟลอยด์ (ให้เสียงโดย ทรอย ซิวาน, Troye Sivan) พี่ชายสุดที่รักถูกลักพาตัวไปดูดพลังเสียงโดยแฝดไร้พรสวรรค์อย่าง เวลเว็ต (ให้เสียงพากย์โดย เอมี ชูเมอร์, Amy Schumer) กับ วีเนียร์ (ให้เสียงพากย์โดย แอนดรูว์ แรนเนลส์, Andrew Rannells) งานนี้แบรนช์จำเป็นต้องกลับไปแท็กทีมกับ จอห์น โดรี (ให้เสียงโดย เอริค อังเดร, Eric Andre’) ฟรอนต์แมนจอมบงการ สปรูซ (ให้เสียงโดย ดาวีด ดิกส์, Daveed Diggs) อดีตหนุ่มกล้ามท้องขยี้ใจสาว และเคลย์ (ให้เสียงพากย์โดย คิด คูดิ, Kid Cudi) ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
โดยหากจะให้เทียบกับหนังในตระกูลโทรลส์ด้วยกันก็คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า ‘Trolls Band Together’ น่าจะเป็นภาคที่เนื้อเรื่องเบาบางที่สุดแล้ว เพราะในขณะที่หนังสองภาคแรกตัวละครต้องเจอกับอุปสรรคทั้งเบอร์เกนส์สัตว์ประหลาดที่จับโทรลส์ไปกิน หรือการต้องต่อกรกับโทรลส์ที่ร้องเพลงร็อกและหวังจะลบแนวดนตรีอื่น ๆ ไปตลอดกาล แต่ในภาคนี้ปมปัญหาถูกย่นย่อให้กลายเป็นภารกิจช่วยชีวิตพี่ชายของแบรนช์เท่านั้นเอง
มิหนำซ้ำปมปัญหาต่าง ๆ ก็ต้องยอมรับว่าหนังมีท่าทีที่เล่นง่าย ปมเกิดขึ้นและจบอย่างรวดเร็วจนเป้าหมายของหนังโทรลส์ในสองภาคแรกที่ทำให้เหล่าผู้ใหญ่เอ็นจอยได้กลายเป็นหนังเด็กโดยสมบูรณ์ และเมื่อไปดูเครดิตคนเขียนบทก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะทีมเขียนบทจากหนังสองภาคแรกไม่ได้ตามมารังสรรค์บทให้อีกแล้วแต่เป็นการยกทีมเขียนบทใหม่ทั้งหมด โดยนอกจากทีมนักแสดงที่กลับมาให้เสียงพากย์แล้วก็ยังมี วอลต์ ดอห์น (Walt Dohrn) ที่กลับมากำกับหนังภาคที่สามคู่กับ ทิม ไฮต์ซ (Tim Heitz) ที่เคยกำกับ ‘Trolls: Holiday in Harmony’ ในฉบับทีวีมาก่อน
แต่กระนั้นก็ใช่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาแย่จนรับไม่ได้นะครับ เพราะอย่างน้อย ดอห์น เองก็ยังรู้ว่าสิ่งที่แฟนของแอนิเมชันโทรลส์ต้องการคงหนีไม่พ้นเพลงไพเราะและเรื่องราวมิตรภาพที่ลึกซึ้งกินใจ โดยในหนังภาคนี้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่ขาดสะบั้นในอดีตและแบรนช์ต้องก้าวข้ามความบาดหมางต่อพี่ชายไปให้ได้ก็ทำให้หนังยังพอมีอะไรให้เราลุ้นตามอยู่บ้าง แม้จะสอดแทรกด้วยความอีหยังวะตามรายทางบ้างก็ตามแต่หนังก็หาทางลงให้ทุกปมปัญหาได้ในระดับไม่น่าเกลียด
แต่สิ่งที่เป็นไฮไลต์ของหนังอย่างมากคงหนีไม่พ้นการปรากฎตัว (หรือเสียง) ของสมาชิกวงเอ็นซิงค์ (N’Sync) ที่มากันแบบเต็มวง (ส่วนจะอยู่ตรงไหนของหนังให้ไปดูกันเอาเอง) และการได้ยินเพลงอย่าง ‘Want you back’ เพลงดังของเอ็นซิงค์ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้เหล่าผู้ชมที่เคยใช้ชีวิตวัยรุ่นในช่วงต้นปี 2000 อดจะร้องและโยกตามไม่ได้เลยทีเดียว
หรือการได้สาว คามิลลา คาเบลโล (Camila Cabello) ศิลปินป็อบละตินสุดร้อนแรงมาให้เสียง วีว่า ก็ทำให้ผู้ชมได้กำไรอัปสกิลหูทองคำเข้าไปอีก เสริมด้วย ทรอย ซิวาน ในบทฟลอยด์ที่นำน้ำเสียงทรงเสน่ห์ของเขามาให้ตัวละครได้เป็นอย่างดี โดยจุดที่น่าเสียดายไปหน่อยคงหนีไม่พ้นการมีอยู่ของเพลง ‘Sweet Dream’ ผ่านน้ำเสียงของ เอมี ชูเมอร์ กับ แอนดรูว์ แรนเนลส์ ในบท เวลเว็ตกับวีเนียร์ กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงมิติใหม่ของเพลงนี้ได้เหมือนกับกรณีของ ‘Want you back’ สักเท่าไหร่ แถมหนังยังให้เราได้ยินเพลงเดียวกันถึง 2 รอบแต่ทุกครั้งที่มันถูกนำเสนอกลับไม่มีเสน่ห์เท่าที่ควร
โดยสรุปแล้ว ‘Trolls Band Together’ อาจจะเหมาะกับเด็ก ๆ มากกว่าวัยรุ่นเพราะโทนหนังที่ถูกปรับให้มีความเบาสมองมากขึ้น และอีกกลุ่มที่น่าจะกรี้ดกับหนังได้ไม่น้อยเห็นจะเป็นเหล่าวัยรุ่นยุค 2000 ต้น ๆ ที่น่าจะมีความสุขไม่น้อยกับการได้ฟังเพลงและเสียงของเอ็นซิงค์ทั้งวงอีกครั้งในโรงภาพยนตร์ครับ
หนังมีกำหนดเข้าฉายวันที่ 5 ธันวาคม 2566
The post [รีวิว] Trolls Band Together – เมื่อโทรลส์มาดักแก่วัยรุ่นยุค 2000 appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/