อวกาศ…. พรมแดนด่านสุดท้าย นี่คือการเดินทางครั้งใหม่ของ Bethesda กับภารกิจ 5 ปี หลังจากประกาศเปิดตัวเป็นครั้งแรก เพื่อค้นหารูปแบบการเล่นใหม่ ๆ โลกใบใหม่ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย พร้อมกับอารยธรรมใหม่ กล้าไปยังที่ซึ่งไม่มีใครเคยไปมาก่อน กว่า 5 ปีแห่งรอคอยหลังจากเปิดตัว กับเกมที่ใช้เวลาพัฒนามายาวนานกว่า 8 ปี ผลงานชิ้นใหม่จาก Bethesda Game Studio ผู้ที่อยู่เบื้องหลังงานชิ้นเอกแห่งวงการเกมอย่าง The Elder Scrolls และ Fallout การันตีด้วยเสียงตอบรับ และคำชมจากเหล่าเกมเมอร์ทั่วโลกว่านี่คือเจ้าแห่งเกม RPG ในดินแดนตะวันตกที่สร้างรากฐานให้กับเกมอื่น ๆ มาตลอดหลายปีในวงการเกม ปฏิเสธไม่ได้เลยนะครับว่า Starfield นั้นเป็นเกมที่ทำให้แฟน ๆ ค่ายนี้หลายคน รวมถึงผมที่รักและชื่นชอบเล่นเกม RPG นั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และอย่างยิ่งสำหรับใครที่ชอบอวกาศ หรือแฟน ๆ นิยาย ภาพยนต์ Sci-Fi อย่าง Star Trek, Event Horizon, Interstellar, The Martian, 2001: A Space Odyssey หรือแม้แต่ Guardians of the Galaxy เองก็อดใจไม่ไหวที่จะได้สร้างเรื่องราวของตัวเอง และออกสำรวจ Galaxy Far, Far Away ตามแบบฉบับเกมของ Bethesda ที่เป็นเครื่องยืนยันเลยว่ามันจะออกมาดูดี และไม่น่าผิดหวังกันอย่างแน่นอน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป หลังจากที่ตัวผมเองได้ออกสำรวจจักรวาล และโลกที่ Starfield
The post [Review] Starfield ทะยานขึ้นฟ้า สู่ดาราจักรที่เราคุ้นเคย appeared first on #beartai.
อวกาศ…. พรมแดนด่านสุดท้าย นี่คือการเดินทางครั้งใหม่ของ Bethesda กับภารกิจ 5 ปี หลังจากประกาศเปิดตัวเป็นครั้งแรก เพื่อค้นหารูปแบบการเล่นใหม่ ๆ โลกใบใหม่ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย พร้อมกับอารยธรรมใหม่ กล้าไปยังที่ซึ่งไม่มีใครเคยไปมาก่อน
กว่า 5 ปีแห่งรอคอยหลังจากเปิดตัว กับเกมที่ใช้เวลาพัฒนามายาวนานกว่า 8 ปี ผลงานชิ้นใหม่จาก Bethesda Game Studio ผู้ที่อยู่เบื้องหลังงานชิ้นเอกแห่งวงการเกมอย่าง The Elder Scrolls และ Fallout การันตีด้วยเสียงตอบรับ และคำชมจากเหล่าเกมเมอร์ทั่วโลกว่านี่คือเจ้าแห่งเกม RPG ในดินแดนตะวันตกที่สร้างรากฐานให้กับเกมอื่น ๆ มาตลอดหลายปีในวงการเกม
ปฏิเสธไม่ได้เลยนะครับว่า Starfield นั้นเป็นเกมที่ทำให้แฟน ๆ ค่ายนี้หลายคน รวมถึงผมที่รักและชื่นชอบเล่นเกม RPG นั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และอย่างยิ่งสำหรับใครที่ชอบอวกาศ หรือแฟน ๆ นิยาย ภาพยนต์ Sci-Fi อย่าง Star Trek, Event Horizon, Interstellar, The Martian, 2001: A Space Odyssey หรือแม้แต่ Guardians of the Galaxy เองก็อดใจไม่ไหวที่จะได้สร้างเรื่องราวของตัวเอง และออกสำรวจ Galaxy Far, Far Away ตามแบบฉบับเกมของ Bethesda ที่เป็นเครื่องยืนยันเลยว่ามันจะออกมาดูดี และไม่น่าผิดหวังกันอย่างแน่นอน
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป หลังจากที่ตัวผมเองได้ออกสำรวจจักรวาล และโลกที่ Starfield ได้สร้างเอาไว้กว่า 40 ชั่วโมง ต้องบอกตามตรงว่า “น่าผิดหวัง”
Story
ในปี 2050 มนุษย์สามารถไปถึงดาวอังคารได้เป็นครั้งแรก และในอีก 50 ปีต่อมา เหล่ามนุษย์ก็เริ่มสร้างถิ่นฐานและอาศัยอยู่บนอวกาศ เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่มนุษย์ได้ค้นพบการเดินทางที่รวดเร็วกว่าแสง หรือที่ในเกมนี้เรียกว่า Gravity Pull หรือ “Grav drive” ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถเดินทางไปอย่างระบบดาวอื่น ๆ ในกาแล็กซี่นี้ได้
โลก ดาวที่ล่มสลาย เหลือไว้เพียงแค่ซาก
ในปี 2150 ชั้นบรรยากาศของโลกเริ่มเสียหาย มนุษย์มีเวลา 50 ปีในการอพยพออกจากดวงดาวบ้านเกิด เหล่ามนุษย์ได้เริ่มตั้งอาณานิคมระบบดาวไปอย่าง Alpha Centauri ที่อยู่ห่างจากโลกไป 4.35 ปีแสง ในปี 2156 พร้อมกับก่อตั้ง United Colonies สหอาณานิคมแห่งใหม่ สำหรับเหล่ามนุษย์ที่อยู่ไปทั่ว ๆ อวกาศ พร้อมกับสร้างเมืองหลวง New Atlantis ขึ้นมาที่ดาว Jemison แห่งระบบดาว Alpha Centauri และชีวิตใหม่ อารยธรรมใหม่ของมนุษย์ก็เริ่มต้นขึ้น
New Atlantis เมืองหลวงแห่งใหม่ของมนุษยชาติ
เรื่องราวของเราจะเริ่มต้นในปี 2330 หลังจากผ่านมากว่าศตวรรษ ที่เหล่ามนุษย์ได้เริ่มตั้งอาณานิคมบนอวกาศ เราจะได้รับบทเป็นพนักงานขุดเหมืองธรรมดาคนนึง ที่ดันไปเจอเข้าให้กับชิ้นส่วนสิ่งประดิษฐ์บางอย่าง ที่ส่งผลโดยตรงต่อเราเมื่อไปสัมผัสมัน และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เราได้เข้าร่วมกับกลุ่ม The Constellation กลุ่มนักสำรวจอวกาศ ที่ออกตามล่าความลับของจักรวาล ที่ซึ่งไม่มีใครเคยไปมาก่อน
สิ่งหนึ่งที่ต้องขอชื่นชมเลยก็คือทีมงานได้ทำการบ้านกับ NASA มาเป็นอย่างดี ถึงขนาดให้เครดิต NASA ไว้หน้าแรกตอนเข้าเกมเลยว่า Starfield นั้นได้เอาระบบดาวที่มีอยู่จริง ๆ ในจักรวาลของเรา ข้อมูลทุกอย่างที่ค้นคว้าโดย NASA ในโลกจริง มาใช้ในเกมจริง ๆ ระบบดาวอย่าง Alpha Centauri เองนั้นก็มีอยู่จริง และอยู่ห่างจากโลกของเราไป 4.35 ปีแสงจริง ๆ และยกตัวอย่างเช่น ระยะห่างจากโลก ไปถึงดวงจันทร์อยู่ที่ 384,400 กิโลเมตร ซึ่งในเกมมันก็อ้างอิงแบบนี้เป๊ะ ๆ หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ จะเรียกได้ว่า Starfield ได้จำลองกาแล็กซี่ของเรามา 1:1 เลยก็ไม่ผิดนัก
ซึ่งตรงนี้เอง มันทำให้ผมรู้สึกอินกับมันมากเลย มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้เราได้รู้สึกถึงการเดินทางออกนอกอวกาศจริง ๆ และเกมนี้ได้จำลองพร้อมกับสร้างเรื่องราวออกมาได้ใกล้เคียงกับคำว่า “ความเป็นไปได้” มากที่สุดเท่าที่เราจะรู้สึกได้แล้ว
ก่อนหน้านี้ในภาพยนต์ หรือทีวีซีรีส์อย่าง Star Trek มันทำให้ผมคิดว่า ในอนาคตอีก 200 ปี มันก็น่าจะเป็นแบบนี้แหล่ะ (ถ้าไม่รับระบบบีมที่มันเวอร์ไปนะ) แต่ใน Starfield นั้นได้ตีความใหม่ และสร้างความเป็นไปได้มากกว่า ซึ่งตรงจุดนี้คิดว่าน่าจะทำให้เหล่า Space Enthusiast หรือผู้ชื่นชอบอวกาศนั้นจะอินกับมันไม่ใช่น้อยเลยล่ะ
แต่อย่างไรก็ตาม สไตล์การเล่าเรื่องของ Bethesda นั้นยังคงรูปแบบเดิมเอาไว้ไม่มีเปลี่ยน ถึงแม้จะมาอยู่บนอวกาศแล้วก็ตาม ตัวเกมจะโยนภารกิจใหญ่หลัก ๆ มาให้เรา ซึ่งในเกมนี้มันก็คือการตามหา The Artifact หรือก็คือชิ้นส่วนสิ่งประดิษฐ์ ที่กระจัดกระจายไปอยู่ทั่วอวกาศ ที่แน่นอนว่าระหว่างทาง เราอาจจะอยากแวะไปทำอะไรก่อนก็ได้ (สายชอบแวะ ถูกใจสิ่งนี้)
และแน่นอน ในส่วนของ Side Quest ที่เกมนี้่นำเสนอนั้น มันน่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว รวมไปถึง Faction Quest หรือการเข้าร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ ในเกมนี้ ที่ก็ต้องบอกว่าทำออกมาได้ตามมาตรฐานของ Bethesda ด้วยการที่คราวนี้โลกในเกมมันคืออวกาศ มันจึงมีอะไรให้เล่าได้เยอะมาก แต่ยังคงอยู่บนพื้นฐานของ “ความเป็นจริง” แบบที่ผมได้กล่าวไปในตอนแรก
ซึ่ง “ความเป็นจริง” นี่แหล่ะ เป็นหัวใจหลักสำคัญที่เกมนั้น “ไม่ได้นำเสนอ” แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงการที่มันไม่ได้เป็น Sci-Fi หนัก ๆ เป็นยุคอนาคตที่เราจินตนาการกันไม่ถึง แต่สิ่งที่ Starfield มอบให้ มันคือ Sci-Fi ที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ตามหลักของวิทยาศาสตร์และความเป็นไปได้ตามทฤษฎีต่าง ๆ ที่มนุษย์เป็นคนคิดมันขึ้นมา ไม่ใช่วิทยาการเอเลียน หรืออะไรที่เวอร์จนเกินจริงไป
และความเป็นจริงแบบนี้ มันทำให้เราจะได้ดื่มด่ำไปกับอวกาศที่ Starfield มอบให้ กับกาแล็กซีทางช้างเผือกในชีวิตจริง ที่เราจะได้ลองออกสำรวจด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก แต่ก็ต้องตามมากับฉากโหลดมหาศาล และความไม่อิสระ ที่ตัวเกมก็มอบให้เราเช่นกันนะ….
Gameplay
พื้นฐาน Gameplay ของ Starfield นั้น จะเรียกได้ว่าหยิบยกเอาจาก Fallout 4 มา Copy – Paste เลยก็คงจะไม่เวอร์เกินไปนัก เท่านั้นยังไม่พอ มันก็ไม่ได้ปรับปรุงอะไรจากเดิมสักเท่าไรเลยด้วย มันคือ Fallout 4 ที่มีอาวุธใหม่ ๆ ให้เลือกใช้ก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้าใครที่ไม่ชอบ Gameplay ของ Fallout อยู่แล้ว ก็อาจจะทำใจยากสักหน่อยถ้าอยากจะเล่นเกมนี้นะครับ
ซึ่งใน Starfield นั้น มันจะมีการแบ่งส่วน Gameplay ออกไปเป็นสองส่วนหลัก ๆ นั้นก็คือ Gun Play และ Space Combat ครับ
เรามาดูที่ Gun Play กันก่อน สำหรับใครที่เคยเล่น Fallout กันอยู่แล้วก็จะเข้าใจกันดี แต่ใน Starfield นั้นจะไม่มี VATS ให้ใช้นะ (ยอมรับเลยว่าช่วงเล่นแรก ๆ ผมก็ลืมตัวไปกดปุ่มใช้ VATS บ่อย ๆ เลยล่ะ ก็มันฟีลเดียวกันเลยนี่ !!)
แต่สำหรับใครที่ไม่เคยเล่น พื้นฐานของเกมนี้มันคือ FPS ที่จะสามารถสลับไปเล่นแบบ TPS ได้ตามชอบเลยครับ แต่ต้องบอกตามตรงว่า Gun Play มันค่อนข้างตกยุคมาก ๆ ระบบการยิง ฟิสิกส์ในเกม การ Reload ที่ไม่มี Tactical Reload พร้อมกับอนิเมชันที่ไม่น่าตื่นตาตื่นใจสักเท่าไร โดยรวมก็ถือว่า ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษเลย
ถึงแม้ตัวเกมจะมีระบบสกิลเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้การเล่นหลากหลายไปมากกว่าเดิมนัก โดยใน Starfield จะมีการแบ่งสายสกิลไปเยอะมาก และแต่ละสายก็จะมีความถนัดต่างกันไป แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่ายังไงผู้เล่นก็ต้องมาจบที่สาย Combat กันอยู่ดี เพราะกว่า 85% ของเกมนี้คือการต่อสู้ ที่เหลือก็คือการขับยานอีก 5% และการสำรวจอีก 10% ครับ
ในส่วน Space Combat นั้นจะรวมอยู่ในการขับยานด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่านี่เป็นส่วนที่ผมรู้สึกสนุกมากที่สุดแล้ว ตัวเกมออกแบบการบังคับยาน และระบบการเล่นออกมาได้ค่อนข้างดีมากเลย มันทำให้ผมนึกถึงเกมอย่าง Star Wars Squadrons แต่ว่า Starfield ได้เอามาต่อยอด และพัฒนาออกมาได้ดีกว่าเดิม แต่น่าเสียดายที่การต่อสู้บนอวกาศมันไม่ได้มีบ่อย ๆ และไม่ได้ทุกหยิบเอามาใช้มากนัก
โดยตลอดทั้งเกมมันจะมีอยู่ 1 ภารกิจรอง ที่ได้ให้ความรู้สึกถึงคำว่า Space Combat พร้อมกับสมรภูมิ Dogfight โคตรมันส์อย่างกับ Star Wars อยู่ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม Bethesda ถึงไม่สร้างฉากแบบนี้ขึ้นมาเยอะ ๆ หน่อย หรืออาจจะไปเอาดีเรื่องทำเกมแนวนี้เลยก็ยังได้นะ…
The Voyages
และนี่คือส่วนที่น่าผิดหวังที่สุด ของเกมที่ออกแบบมาเพื่อการสำรวจ และความเป็น Open World ที่มันควรจะต้องมากกว่า World และยกระดับตัวเองกลายเป็น Open Galaxy ไปได้แล้ว
แต่สิ่งที่ Starfield มอบให้ กลับกลายเป็นแค่เกม RPG ธรรมดาเกมหนึ่ง ที่ไปไม่สุดสักทาง และไม่ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากจะสำรวจอวกาศแบบเต็มที่กันมากนัก
อธิบายให้เห็นภาพกันง่าย ๆ Starfield นั้นเป็นเกมที่มีข้อจำกัดหลายอย่างมาก ๆ และมากเกินไปจนทำให้เราเกิดตั้งคำถามว่า ทำไมถึงทำแบบนี้ไม่ได้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม และทำไม อยู่ตลอดการเล่น สร้างความน่าหงุดหงิดใจอยู่มาก จนทำให้เรารู้สึกว่าควรพอสักทีเถอะ
ตัวเกมถูกขั้นโดยฉากโหลดอันมหาศาลสำหรับเกมปี 2023 ที่คุณลองนึกภาพดูว่า เมื่อคุณอยู่บนอวกาศ จะลงจอดที่ดาวดวงนึง ตัวเกมจะตัดเข้าคัตซีนฉากจอดยาน และเมื่อผู้เล่นจะลงจากยาน ก็ต้องโหลดฉากอีกรอบ หรือถ้าจะขึ้นยานใหม่ ก็ต้องโหลดฉากขึ้นยานอีก !! เออแปลกดีนะ ลองนึกภาพเมื่อคุณเล่นเกมอย่าง GTA และคุณจะต้องโหลดฉากทุกครั้งเมื่อขึ้นรถหรือลงรถดูสิ ลองคิดดูว่ามันน่าหงุดหงิดขนาดไหน
แต่ก็ยังดีที่ในเกมนี้เราไม่จำเป็นต้องขึ้นยานบ่อยมากนัก เพราะนอกจากการต่อสู้บนอวกาศ และการเดินทางข้ามระบบดาวแล้ว ยานอวกาศของเรา มันก็ไม่ได้มีความจำเป็นสักเท่าไร เพราะวินาทีที่มันลงจอดบนดาวดวงนั้น ๆ มันก็หมดหน้าที่แล้ว เราไม่สามารถขับยานของเราสำรวจไปรอบ ๆ ดาวได้ ถ้าหากใครที่เคยเล่น No Man Sky’s และอยากจะทำแบบนั้นกับ Starfield ก็ต้องบอกตรงนี้เลยครับว่าเสียใจด้วย เพราะมันทำแบบนั้นไม่ได้ครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอชื่นชมระบบแต่งยานของเกมนี้ เพราะมันทำออกมาได้ดีมากเลย เราสามารถสร้างยานของเราเองได้ฉาก 0 เลือกชิ้นส่วนเองทั้งหมด คุณอาจจะอยากสร้างยาน Millennium Falcon ของตัวเองขึ่นมาก็สามารถทำได้ หรืออยากจะสร้างยาน Normandy จากเกม Mass Effect ขึ้นมาเลยก็ได้ บางคนก็ถึงขั้นสร้าง Optimus Prime ขึ้นมาเป็นยานอวกาศเลยก็มี (เอาก่ะมันสิ)
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าขัดใจไม่แพ้กันเลยก็คือ สีหน้าท่าทาง ฉากคัตซีน ฉากหรือแม้แต่บทพูดของ NPC มันเหมือนหลุดมาจากเกมปี 2010 เลย ถ้าจะพูดว่าใน Fallout 4 ยังทำดีกว่าก็ไม่ผิด ถึงแม้ว่าใน Starfield มันจะมี Dialogue tree ที่เยอะกว่าก็ตาม แต่ความจริงที่ว่าทุกอย่างในเกมมันดูตกยุค ก็ไม่ได้ช่วยให้เกมดูดีขึ้นแต่อย่างไร ก็ไม่แน่ใจว่าทีมงานมีเวลาไม่พอที่จะขัดเกลามันขึ้นมาหรืออย่างไร
นอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย ที่ตัวเกมมี แต่ไม่ได้ถูกนำเอามาใช้อย่างจริงจัง และไม่ได้รับการนำเสนอที่ดีมากพอ ถ้าจะให้ยกตัวอย่าง ก็เช่นระบบ Craft ระบบ Mod รวมไปถึง Outpost ที่ถูกหยิบเอามาจาก Fallout 4 และถูกเอามาต่อยอดในเกมนี้ แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย คือทั้งเกมเราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับระบบเหล่านี้เลยก็ยังได้ เรียกได้ว่าลืม ๆ มันไปก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยล่ะ
Performance
Starfield ขับเคลื่อนโดยขุมพลังอย่าง Creation Engine ที่พูดตามตรงเลยว่ามันทั้งเก่า ตกยุค และมีปัญหาค่อนข้างเยอะมาก ๆ และเป็นปัญหาที่ทาง Bethesda เองก็น่าจะเห็นแล้ว ตั้งแต่การพัฒนา Fallout 76 ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะดันให้เจ้า Creation Engine มันไปให้ถึงขีดสุดให้ได้
Creation Engine 2 เวอร์ชันใหม่ล่าสุดที่ใช้ใน Starfield (เป็นเวอร์ชันสุดท้ายเถอะ)
แต่ใน Starfield ผมพูดตามตรงเลยว่า Creation Engine มันมาสุดทางได้แค่นี้จริง ๆ และข้อร้องเลยว่าอนาคตอย่าให้เจอกันอีกเลย ภาวนาให้ใน The Elder Scrolls 6 อย่าได้หาทำเอามันกลับมาอีก เพราะตัว Engine เองที่มีพื้นฐานมาจาก Gamebryo ที่มีมาตั้งแต่ 1997 และด้วยความเก่านี้ มันจึงทำให้ Creation Engine มีปัญหาพร้อมกับข้อจำกัดหลายอย่างมาก ๆ ที่เราจะได้เจอกับมันทุกรูปแบบใน Starfield ครับ
เริ่มจากข้อจำกัดทาง Engine ก่อนเลย สาเหตุที่ตัวเกมมีฉากโหลดเป็นจำนวนมาก นั้นเดาได้ง่าย ๆ เลยว่าตัว Engine เองไม่รองรับ World Building และจำนวน AI ที่มีเยอะและซับซ้อนมากเกินไป ถึงแม้ว่าเราอาจจะเอาไปเทียบกับ Fallout 4 หรือ Skyrim ที่ดูดีและสร้างโลกทั้งใบออกมาได้ไร้รอยต่อมากกว่า แต่สิ่งที่ Starfield แตกต่างไป ก็คือการที่กราฟิกในเกมมันพัฒนาขึ้นจากเดิมมาก และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงต้องมีการโหลดฉากอยู่บ่อย ๆ เพื่อเป็นการลดทรัพยากรของเครื่องครับ
ลองปรับเต็ม ๆ แบบนี้และเล่นดูสิ มันจะรับประทานทรัพยากรเครื่องสูงมาก เท่าที่จะกินได้แล้วล่ะ
แต่ถึงแบบนั้นเอง Starfield ก็ยังเป็นเกมที่รับประทานทรัพยากรเครื่องสูงมาก สูงเกินไป สูงชนิดที่ว่า มันไม่ได้เป็นเพราะคอมเราไม่ดี แต่มันเป็นเพราะเกมมัน Optimize มาได้ไม่ดีพอต่างหาก ถึงแม้ว่า Starfield จะมีคุณภาพกราฟิกได้ตามมาตรฐานเกมปี 2023 แต่ก็ต้องแลกมากับ Performace ที่เข้าขั้นแย่มาก ก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีสักเท่าไรนัก
ถ้าหากจะให้เปรียบเทียบกันง่าย ๆ เกมอย่าง The Witcher 3 หรือ Cyberpunk 2077 ที่รันบน Red Engine ยังทำออกมาได้ดีกว่า โลก ฉาก ที่ไร้รอยต่อ มันจะทำให้เราดื่มด่ำไปกับความเป็น Open World ของเกม RPG ได้ดีกว่ามาก ๆ และจะมีการโหลดฉากเมื่อจำเป็นจริง ๆ ก็เท่านั้น
ปัญหาของ Creation Engine นั้นนอกจากจะสร้างข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างในเกมแล้ว มันก็ยังสร้าง “บั๊ก” ได้อีกด้วย ต้องบอกเลยว่ามันเป็นลายเซ็นของค่ายนี้ไปแล้ว ที่จะปล่อยเกมพร้อมกับบั๊กมาเป็นฟีเจอร์ของเกมไป และรอให้เหล่า Modder ทั้งหลายมาคอยตามแก้กันเอง โดยใน Starfield นั้นก็มีบั๊กให้เห็นอยู่บ้าง แต่พูดตามตรงว่าผมเองก็เซอรไพส์ ที่รอบนี้เจอน้อยกว่าเดิมเยอะมากเลย ถ้าหากเทียบกับเกมอื่น ๆ ที่เล่น Day One (ใครยังจำมังกรบินกลับหลังใน Skyrim ได้บ้าง)
สรุป
Starfield นั้นอาจจะไม่ใช้ผลงานระดับขึ้นหิ้งของ Bethesda แต่มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ สำหรับเกมที่มีอนาคตและการเดินทางอีกยาวไกล ถึงแม้ตัวเกมจะมีปัญหาในหลาย ๆ ด้าน แต่ผมก็ต้องขอบอกเลยว่า Starfield เป็นเกมที่ “ดี” เกมหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้ดีมากถึงขนาดจะได้รางวัลหรือคำชมเชยอะไรไปมากนัก
และแน่นอนว่ามันก็ไม่ได้เป็นเกมที่แย่อะไรมากนัก ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม ที่ชอบเล่นเกม RPG อยู่แล้ว Starfield เป็นเกมที่สามารถตอบโจทย์ได้ดี สำหรับการสวมบทบาทเป็นคนธรรมดา ๆ คนนึงในยุคอนาคต ที่เราเองในชีวิตจริงไม่มีวันจะอยู่ถึง ตัวเกมเองก็ได้มอบประสบการณ์และความรู้สึกที่ดีให้มาตลอด 40 ชั่วโมงของการเล่นจนจบเกม
แต่ถ้าหากเราจะมอง Starfield และคาดหวังว่ามันจะเป็นสุดยอดเกมแห่งยุค ที่จะทำให้ฝันของนักท่องอวกาศเป็นจริง หรือบางคนที่อาจจะเล่น No Man Sky’s มา และหวังว่าจะได้ออกสำรวจอวกาศกันอย่างเต็มที่ พร้อมกับโลกทั้งใบที่เปิดให้เราได้สำรวจ ดาวเคราะห์หลายพันดวงที่รอคุณไปเหยียบเป็นคนแรก Starfield ก็อาจจะไม่ได้มอบประสบการณ์แบบนั้นให้คุณได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่าเราต้องการอะไรจาก Starfield กันแน่ ?? การสำรวจอวกาศ สร้างเรื่องราวของตัวเอง หรือเราก็แค่อยากจะเล่นเกม RPG ดี ๆ สักเกม ที่ไม่คาดหวังอะไรใหม่ ๆ คิดซะว่ามันเป็นการเริ่มต้นครั้งใหม่ การเดินทางครั้งใหม่ของ Bethesda ที่ได้ลองนำเสนอมาให้เราหลังจากห่างหายไปนานกว่าหลายปี เท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ
Starfield วางจำหน่ายแล้ววันนี้สำหรับ PC Steam และ Xbox Series X|S ครับ
The post [Review] Starfield ทะยานขึ้นฟ้า สู่ดาราจักรที่เราคุ้นเคย appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/