รีวิว The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก หนังอันดับ 1 ของ Netflix หนังเกาหลีใต้สร้างจากเรื่องจริงของปฎิบัติการชิงตัวประกันในอัฟกานิสถานเมื่อปี 2007
The post [รีวิว] The Point Men: แอ็กชันน้อยหน่อย เจรจามากหน่อย ไม่โหดแต่ได้ระทึกมาแทน appeared first on #beartai.
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ปี 2007 ในระหว่างที่สงครามการต่อต้านก่อการร้าย อันเป็นผลพวงจากเหตุโศกนาฎกรรม 9/11 บนแผ่นดินประเทศอัฟกานิสถานกำลังร้อนระอุ ชาวเกาหลีใต้ทั้งประเทศก็ต้องตกอยู่ในภาวะอกสั่นขวัญแขวน เพราะอยู่ดี ๆ กลุ่มผู้ก่อการร้ายตาลีบันหัวรุนแรง ได้บุกจับนักท่องเที่ยวที่เป็นมิชชันนารีชาวเกาหลีใต้ จำนวนทั้งหมด 23 คน ประกอบด้วยผู้หญิง 16 คน และผู้ชาย 7 คน เอาไว้เป็นตัวประกัน ณ เมืองกัชนี (Ghazni) ในระหว่างที่รถบัสกำลังเดินทางจากเมืองกันดะฮาร์ (Kandahar) ไปยังกรุงคาบูล (Kabul) เมืองหลววงของอัฟกานิสถาน
ในเวลานั้นกลุ่มตาลีบันได้เสนอต่อรองกับรัฐบาลเกาหลีใต้ ตั้งแต่การเรียกค่าไถ่ ให้ปล่อยสมาชิกกลุ่มติดอาวุธของตาลีบันที่ถูกคุมขัง รวมทั้งถอนทหารเกาหลีใต้ 200 นายออกจากอัฟกานิสถานเป็นการแลกเปลี่ยน แม้ตัวประกันชาวเกาหลีใต้จะโดนสังหารไป 2 คน แต่ด้วยการเจรจาทางการทูตกับตาลีบันในเวลานั้น ก็ทำให้ตัวประกัน 21 คนที่เหลือได้รับการปล่อยตัวในที่สุด แล้วทั้งหมดก็กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของหนัง ‘The Point Men’ หรือ ‘ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก’
‘The Point Men’ เป็นฝีมือการกำกับของผู้กำกับหญิง อิมซุนรเย (Yim Soon-rye) ที่เคยกำกับหนังใส ๆ ‘Little Forest’ (2018) หรือเวอร์ชันรีเมกหนังญี่ปุ่นชื่อเดียวกันที่เคยดังในไทยเรื่องนั้นแหละครับ ความน่าสนใจอีกอย่างก็คงหนีไม่พ้นบรรดา 3 นักแสดงชายเบอร์ใหญ่ที่มาปะทะกันในหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่ ฮวังจองมิน (Hwang Jung-min), คังกียอง (Kang Ki-young) หรือทนายแว่น หัวหน้าของทนายอูยองอูในซีรีส์ ‘Extraordinary Attorney Woo’ (2022) คนนั้นแหละ
รวมทั้งนักแสดงแถวหน้า ฮยอนบิน (Hyun Bin) ในลุคหนุ่มเซอร์สุดเข้ม ที่ตอนนี้น่าจะต้องเรียกว่าแด๊ดดี้ เพราะพี่แกประกาศว่า ภรรยาแกเพิ่งลูกคนแรกหลังถ่ายทำเสร็จสิ้นพอดี อีกอย่างก็คือ ตัวหนังเคยเปิดตัวทำรายได้ในเกาหลีใต้เป็นอันดับ 1 แซงหน้า ‘Avatar: The Way of Water’ ที่ครองรายได้มาก่อนหน้าด้วยนะครับ ส่วนในไทย จริง ๆ หนังเพิ่งจะเข้าโรงไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี่เอง ก่อนจะเอามาลงใน Netflix พ่วงเสียงพากย์ไทยจากทีมพันธมิตรให้ได้ชมกัน
อย่างที่เล่าไปแล้วว่า ‘The Point Men’ นั้นได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง แต่เล่าเรื่องทุกอย่างผ่านตัวละครสมมติ หนังจะเล่าเรื่องจากเหตุการณ์ภายในประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อกลุ่มตาลีบันหัวรุนแรง ได้จับเหล่ามิชชันนารีชาวเกาหลีใต้ 23 คนที่อยู่ระหว่างเดินทางบนรถบัสไว้เป็นตัวประกัน กลายเป็นภารกิจของหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (NIS) ที่ต้องช่วยเหลือตัวประกันทั้งหมดให้มีชีวิตรอดออกมาให้ได้ ทางการได้ส่ง แจโฮ (Hwang Jung-min) นักการทูตสายเจรจา ไปต่อรอง แต่ก็ไม่เป็นผล
ทำให้เขาต้องจำใจร่วมมือกับ แดซิก (Hyun Bin) หน่วยสืบราชการผู้เชี่ยวชาญพื้นที่ตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน เพื่อช่วยกันเจรจาชิงตัวประกันออกมาให้ได้ โดยมี คาซิม/ลีบงฮัน (Kang Ki-young) ล่ามแปลภาษาเป็นตัวกลางในการเจรจา ภายใต้เวลาและสถานการณ์ที่บีบคั้นและอ่อนไหวต่อชีวิตของเหล่าตัวประกันมากขึ้นทุกที ๆ
คอหนังเกาหลีหลายคนพอเห็นหนังเรื่องนี้แล้ว ก็อาจจะนึกไปถึงหนังแนวใกล้ ๆ กันของเกาหลีอีก 2 เรื่องที่เคยฉายโรงในไทยมาแล้ว นั่นก็คือ ‘Hunt’ (2022) ที่เป็นแนวคู่ปรับที่ต้องมาร่วมมือกันทำภารกิจกู้ชาติ กับ ‘Escape from Mogadishu’ (2021) หนังแนวชิงตัวประกันในพื้นที่สงครามกลางเมืองของประเทศโซมาเลีย ซึ่งจริง ๆ สนุกทั้ง 2 เรื่องนะครับ ไปหาดูกันได้ มีลงในสตรีมมิงแล้ว แต่สิ่งที่ ‘The Point Men’ ค่อนข้างจะต่างออกไปจากหนัง 2 เรื่องที่ผู้เขียนยกตัวอย่างมานั่นก็คือ
แม้ตัวหนังจะมีเรื่องราว ธีม และโทนหนังที่ดูเผิน ๆ คงนึกถึงปฏิบัติการทางทหารที่ออกไปบู๊ลุยชิงตัวประกัน ออกแนวแอ็กชันแบบที่ชวนให้อดคิดไม่ได้จริง ๆ ซึ่งเอาเข้าจริงตัวหนังกลับมีพาร์ตความเป็นหนังทริลเลอร์ บวกดราม่านิด ๆ มากกว่าจะเป็นหนังแอ็กชันแบบเต็มตัวนะครับ แม้จริง ๆ ก็มีฉากแอ็กชันที่แสดงโดยแด๊ดดี้ฮยอนบินสุดหล่อให้ได้กรี๊ดกันบ้าง แต่โทนตัวหนังโดยรวมแทบจะไม่ได้มีฉากแอ็กชันหรือเน้นฉากรุนแรงเหมือนกับหนังแนวนี้เรื่องอื่น ๆ แต่ตัวหนังยืดธีมเกี่ยวกับความเป็นนักการทูต การเจรจากับผู้ก่อการร้ายที่ไม่น่าไว้ใจ รวมทั้งการต่อสู้กับบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่จากรัฐบาลที่มีแนวทางในการจัดการวิกฤติแบบตรงกันข้าม และขับเคลื่อนเรื่องราวด้วยวิธีการเจรจาต่อรอง การบิดพลิ้ว ผสม Conflict ความขัดแย้งของคนทำงาน 2 คนที่มีแนวคิดไม่ตรงต้องกันซะมากกว่า
นั่นก็เลยทำให้ตัวหนังเองอาจจะชวนให้ผิดหวังไปสักหน่อยสำหรับคอหนังแอ็กชันนะครับ เพราะสัดส่วนความเป็นหนังแอ็กชันที่มีอยู่บ้าง แต่ก็น้อยกว่าหนังแอ็กชันจริงจัง รวมทั้งพอมันเป็นหนังที่ Based on True Story แน่นอนว่า ยังไงคนดูที่เคยหาข้อมูลมาแล้วก็ย่อมต้องรู้จุดจบและบทสรุปไปแล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตัวหนังก็ยังถือว่าฉลาดที่พยายามสมดุลระหว่างเรื่องราวของการชิงไหวชิงพริบในทางการทูต การฉายภาพให้เห็นของฝั่งนักการทูต ที่เป็นตัวแทนของนักเจรจาฝ่ายบุ๋นที่มีทริกในการเจรจา เสนอข้อต่อรอง อ่านใจ อ่านเกมฝ่ายตรงข้ามให้ขาดว่าตาลีบันต้องการอะไรกันแน่
แถมยังต้องอ่านเกมยุทธศาสตร์ของผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถานให้พอเหมาะพอสมที่สุด แม้บางครั้งจะต้องแลกกับการเสียเวลาไปบ้าง รวมทั้งยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาล ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายบู๊ที่พร้อมจะบวกผู้ก่อการร้ายทุกเมื่อ แต่ที่จริงเป็นเพราะกลัวเสียฟอร์ม กลัวจะเป็นรองผู้ก่อการร้าย รวมทั้งสื่อของเกาหลีใต้เองที่ก็ประมาทจนทำให้ข่าวที่ควรจะลับ ดันแพร่กระจายไปทั่วจนเข้าหูผู้ก่อการร้าย พาให้เหตุการณ์ยิ่งบานปลายหนัก และบีบด้วยสถานการณ์ด้านเวลาที่แทบจะเดาใจตาลีบันไม่ได้เลยว่าจะสังหารใครอีกเมื่อไหร่ แม้จะไม่ได้มีฉากแอ็กชันมัน ๆ แต่ตามรายทางของการเจรจาก็ยังใส่ความระทึกเร้าใจไปกับสถานการณ์ที่บีบคั้นและแย่ลงเรื่อย ๆ ก่อนจะแทรกมุกตลกแกล้มแก้เลี่ยนเป็นระยะ ๆ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อสังเกตเลยนะครับ เพราะด้วยการตัดสินใจเน้นเรื่องราวบุ๋นมากกว่าบู๊ แม้ว่ามันจะทำให้โทนของหนังมีความเป็นหนังฝรั่งฮอลลีวูดมากกว่าหนังเกาหลีก็เถอะ แต่ตัวหนังมันก็แอบลดทอนความน่าสนใจโดยรวมของหนัง โดยเฉพาะในครึ่งแรกลงไปมากพอสมควร ไม่ว่าจะเพราะด้วยเหตุการณ์นี้เป็นข่าวเกาหลีใต้ ที่ยังไงชาวต่างชาติก็คงอินได้น้อยกว่าอยู่แล้วล่ะ (ในขณะที่ประเทศอื่นก็คงไม่อินกับเหตุการณ์เด็กติดถ้ำ อะไรแบบนี้) รวมทั้งฉากการเจรจาที่หนักไปทางนั่งโต๊ะ คุยทางโทรศัพท์ การเล่าเรื่องในครึ่งแรกจึงถือว่าทำได้ตามมาตรฐาน ไม่ถึงกับเบื่อจนง่วง แต่ก็ไม่ได้ดึงดูดให้ติดตามได้เท่าที่ควร
รวมถึงการปูเรื่องและวางปมให้กับตัวละครที่ยังทำได้ไม่ถึงนัก ทั้งปมความขัดแย้งของ 2 ตัวละครหลักที่ถูกวางให้ขัดแย้งดราม่ากันในเชิงอุดมการณ์และวิธีการจนไม่กินเส้น แต่ในหนังกลับทำได้แค่แทรกเส้นเรื่องขัดขา ทะเลาะในเชิงแนวคิดระหว่างทาง มากกว่าจะเป็นการขัดแย้งในการทำงานจริง ๆ อีกจุดที่น่าเสียดายก็คือตัวละครแดซิก ที่มีปมอดีตน่าเจ็บปวด แต่หนังก็ไม่ได้เอามันมาใช้อย่างที่ควรจะเป็น และแม้จะมีฉากแอ็กชันโชว์ความเท่แบบจัด ๆ และดึงดูดสายตาในหนังมากที่สุดแล้ว แต่ด้วยบทบาทโดยรวมของหนังก็ยังน้อยไปจนกลายเป็นบทสมทบเสียมากกว่า
แม้ในครึ่งแรกจะมีจุดสังเกตเยอะ แต่ในครึ่งหลังก็ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมครับ โดยเฉพาะการเพิ่มปมความตื่นเต้นของการเข้าไปเจรจาโดยตรงกับตาลีบัน ที่เรียกว่าทำได้ถึง และจุดพลิกล็อกในครึ่งหลังก็ดูจะบีบให้รู้สึกกดดันได้ดีกว่าครึ่งแรกเสียอีก โดยเฉพาะฉากเจรจากับตาลีบัน ที่เรียกว่าใช้เหลี่ยมทางการทูตมาเจรจากันจนชนิดที่ชาวบ้านตาดำ ๆ ก็แอบสงสัยว่า พวกแกแลกเปลี่ยนอะไรกันง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นไคลแม็กซ์ที่น่าติดตาม แม้เนื้อเรื่องจะเดาได้และนำไปสู่บทสรุปที่ไม่ได้ซับซ้อนนักก็ตาม
แม้หนังเรื่องนี้จะมีข้อสังเกตอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นหนังที่โดยรวมไม่แย่นะครับ แม้บทบางจุดจะทำได้ไม่ถึง ถ้าพูดแบบง่ายก็คือ เป็นหนังที่ทำพาร์ตทริลเลอร์ได้ดีกว่าพาร์ตดราม่า และแม้จะไม่ได้มีแอ็กชันมัน ๆ เน้นสงครามระเบิดตูมตามเป็นจุดขาย เน้นการสนทนาและเหลี่ยมมุมทางการทูตเสียมากกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นหนังเกาหลีที่ทำออกมาได้สนุกสนานและบันเทิง มีสถานการณ์ให้ชวนติดตาม งานแสดงของ 3 ตัวแสดงหลักที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี รวมทั้งงานสร้างและบรรยากาศที่ทำออกมาได้สมจริง งานภาพถือว่าสวยใช้ได้เลย เป็นงานหนังเกาหลีที่มีกลิ่นอายความเป็นหนังทริลเลอร์ฮอลลีวูดที่น่าสนใจ ถ้ากลัวเบื่อ ดูพากย์ไทยก็น่าจะช่วยให้สนุกขึ้นได้อีกนะครับ
The post [รีวิว] The Point Men: แอ็กชันน้อยหน่อย เจรจามากหน่อย ไม่โหดแต่ได้ระทึกมาแทน appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/