![[รีวิว] Fast X: ปฐมบทปิดฉากครอบครัวเหนือมนุษย์ โม้เข้าที่เข้าทาง แต่บางอย่างยังไม่เข้าร่องเข้ารอย](https://assets.beartai.com/uploads/2023/04/%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-Major-Cineplex-664x1024.jpg)
รีวิวหนัง ‘Fast X’ ปฐมบทจุดเริ่มต้นภาคสุดท้าย ก่อนปิดตำนานภาคหลักของแฟรนไชส์หนังจารกรรมรถยนต์ซิ่ง ‘Fast & Furious’ ฉาย 17 พฤษภาคม 2566
The post [รีวิว] Fast X: ปฐมบทปิดฉากครอบครัวเหนือมนุษย์ โม้เข้าที่เข้าทาง แต่บางอย่างยังไม่เข้าร่องเข้ารอย appeared first on #beartai.
เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาใน ‘F9’ (2021) ตอนที่ 9 ของแฟรนไชส์จารกรรมรถซิ่งที่โด่งดังที่สุดของยุคนี้อย่าง ‘Fast & Furious’ ต้องยอมรับว่าเป็นภาคที่เป๋ห่าวแบบไม่เป็นท่ามากที่สุดในบรรดาทุกภาค เพราะนอกจากความโม้แหลกแบบหลุดอวกาศ ปฏิเสธไม่ได้แหละว่าเป็นภาคที่โดนด่าเยอะ แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตามเถอะ สุดท้าย Universal Studios ก็น่าจะมั่นอกมั่นใจกับแฟรนไชส์นี้ ที่มีแฟน ๆ รอดูทั่วโลก จนยอมพร้อมที่จะมอบทุนให้สร้างหนังออกมาได้เรื่อย ๆ
แถมหมายมั่นปั้นมือให้ ‘Fast X’ กลายเป็นภาคสุดท้ายที่น่าจะพึ่งหวังความ Epic ของเรื่องราวและงานสร้างแบบทิ้งทวน ด้วยการหั่นแบ่งออกเป็น 2 ภาคกันไปเลย ซึ่งภาคแรกก็คือภาคที่ฉายอยู่นี้ และภาค 2 (หรือจะเรียกว่าภาค 11 ก็ได้) ที่ใช้ชื่อสุดเด๋อว่า ‘Fast X’ Part 2′ มีกำหนดฉายปี 2025 โน่นเลยครับ และล่าสุดพี่ วิน ดีเซล (Vin Diesel) นักแสดงและผู้อำนวยการสร้างของหนังได้ออกมาบอกแล้วว่า จะขยาย ‘Fast X’ ให้เป็นไตรภาคกันไปเลย อธิบายง่าย ๆ ก็คือ จะไปจบบริบูรณ์อีกทีก็ภาค 12 โน่นเลย เอาเข้าไป)
และพอเป็นภาคสุดท้าย มันก็เลยมีความคาดหวังอยู่มาก แถมระหว่างทางก็ดันมีอุปสรรคอีก ทั้งบรรดาดราม่าไม่กินเส้นของนักแสดง (ที่น่าจะจบแล้วมั้ง) และดราม่าใหญ่ก็คือ การถอนตัวของ จัสติน ลิน (Justin Lin) ผู้กำกับเบอร์หนึ่งที่เป็นผู้วางรากฐานแฟรนไชส์ Fast ให้เติบโตมาจนถึงตอนนี้ได้ และถูกวางให้กำกับ 2 ภาคสุดท้าย ที่ดันถอนตัวหลังจากกำกับไปไม่กี่สัปดาห์ด้วยเหตุผลบางประการ ย้ายตัวเองไปเป็นโปรดิวเซอร์ของหนัง และทิ้งบทที่เขาเขียนร่วมกับ แดน มาโซ (Dan Mazeau) ผู้เขียนบท ‘Wrath of the Titans’ (2012) เอาไว้ให้ หลุยส์ เลเทอร์เรียร์ (Louis Leterrier) ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสมาสานต่อ
ในแง่ของเรื่องย่อ สิ่งที่ผู้เขียนเองต้องกาดอกจันไว้ตัวโต ๆ ก็คือ แม้หนังภาคนี้จะถือว่ามีไทม์ไลน์ที่ต่อมาจากภาค 9 แต่เหตุการณ์และแรงบันดาลใจหลักของบทในภาคนี้ จะเชื่อมโยงมาจาก ‘Fast Five’ (2011) โดยเฉพาะฉากรถลากตู้เซฟ ที่ในหนังจะเอาภาพนั้นกลับมาย้อนให้ดูอีกรอบแบบเต็ม ๆ เลย แต่ไม่ใช่แค่การตัดหนังมา Flashback เฉย ๆ แต่ตัวหนังยังมีกิมมิกด้วยการเพิ่มซีเควนซ์ของตัวละคร ดันเต้ เรเยส (Jason Momoa) ลูกชายของเจ้าพ่อยาเสพติด เฮอร์แนน เรเยส (Joaquim de Almeida) โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เป็นมูลเหตุความขัดแย้งของดันเต้ที่มีต่อครอบครัวของดอมลงไปในซีนนั้นได้อย่างกลมกลืนด้วย ฉะนั้น ใครที่ยังไม่ได้ดู ‘Fast Five’ ถ้ามีโอกาสดูเพื่อทำการบ้านก่อนไปดูภาคนี้ก็จะดีครับ
ส่วนเรื่องราวใน ‘Fast X’ ก็จะเป็นเหตุการณ์ 12 ปีหลังจากนั้นครับ เพราะหลังจากที่เฮอร์แนนถูกสังหาร มันกลายเป็นชนวนเหตุให้ดันเต้ออกไล่ล่าครอบครัวของดอมด้วยการล้างบางสมาชิกครอบครัวทั้งหมดเพื่อหวังจะให้ดอมรู้สึกทรมานไม่ต่างจากเขา ดันเต้กลายเป็นวายร้ายที่ขนาดวายร้ายอย่างไซเฟอร์ (Charlize Theron) ก็ยังเอาไม่อยู่ และในที่สุด ครอบครัวของดอม ทั้ง เลตตี้ ออร์ทิซ (Michelle Rodriguez), มีอา โทเรตโต (Jordana Brewster), โรมัน เพียร์ซ (Tyrese Gibson), เทจ ปาร์กเกอร์ (Ludacris), ฮาน (Sung Kang) และ แรมซีย์ (Nathalie Emmanuel) ต้องมีอันแตกกระสานซ่านเซ็นไปกันคนละทิศ ก่อนที่ดอมจะเริ่มรู้ตัวว่า เป้าหมายสุดท้ายของดันเต้ไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็น ลิตเติล ไบรอัน (Leo Abelo Perry) ลูกชายวัย 8 ขวบคนเก่งของดอมต่างหาก อีกอุปสรรคใหญ่ของดอมก็คือ เอเจนซี องค์กรที่คอยกำกับดูแลทีมงานของดอม ก็ถูกเปลี่ยนมือ เปลี่ยนแนวทาง หันมาไล่ล่าดอมและครอบครัวแทน มีแต่เพียง ทีส (Brie Larson) ลูกสาวของมิสเตอร์โนบอดี้ ที่คอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ
ถ้าพูดถึงแฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’ จะไม่พูดถึงบรรดาฉากแอ็กชันที่ทั้งโคครมัน และโคตรโม้ แหกกฏแรงโน้มถ่วงและกฏฟิสิกส์ชนิดที่ครูสอนฟิสิกส์ต้องนั่งร้องไห้ และในภาคนี้ก็ไม่พลาด ที่จะใส่ฉากแอ็กชันสุดโม้มาให้มันกันแบบเต็ม ๆ เล่นใหญ่ แถมจัดให้แบบยาว ๆ ด้วย ซึ่งก็น่าจะเป็นอานิสงส์จากการใช้ทุนสร้างสูงปรี๊ดถึง 340 ล้านเหรียญ คือติด Top 5 ทุนสร้างสูงสุดตลอดกาลไปแล้ว ก็เลยทำฉากแอ็กชันออกมาได้ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ เป็นฉากแอ็กชันที่ก็ยังมีความโม้นะครับ แต่เป็นความโม้ที่ทำออกมาได้สมเหตุสมผลกว่า Fast 9 ซึ่งในแง่ความสร้างสรรค์ แอ็กชันโดยรวมในภาคนี้อาจจะไม่ถึงกับสดใหม่มาก เพราะทุกภาคก็อารมณ์ประมาณนี้แหละ รวมทั้งยังเห็นร่องรอยการหยิบไอเดียจากภาคก่อน ๆ มาใช้พอสมควร
แต่ก็ต้องชมหลาย ๆ ฉากที่ทำออกมาได้ระห่ำสะใจมาก เช่น ฉากลูกตุ้มระเบิด ที่ลงทุนทำลูกตุ้มจริงมากลิ้งในกรุงโรม ซึ่งแม้มันจะดูการ์ตู๊นการ์ตูน แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ตื่นเต้นเร้าใจดี หรือแม้แต่ฉากสันเขื่อนที่ผู้เขียนว่าจะโม้ได้แค่ไหน แต่สุดท้ายก็ออกมาทั้งโม้และบ้าสุด ๆ ไปเลย หรือฉากแข่งรถ Drag Racing ที่ถือว่าเป็นการคารวะฉากแข่งรถจากภาคแรก ๆ พอกรุบกริบ พยายามโยงเข้าเส้นเรื่องกับปมอดีตของดอม แต่ก็ยังหาจังหวะโชว์โม้ โชว์จังหวะฮีโรของดอมได้อีกสิน่า รวมทั้งฉากสันเขื่อนที่คิดว่าโม้สุดแล้ว แต่ในหนังก็ยังโม้หักมุมได้อีก ก็อย่างว่าแหละครับ จะมาถือสาหาตรรกะอะไรกับ ‘Fast & Furious’ ล่ะ อีกอย่างก็คือ ภาคนี้ใช้รถเปลืองมากครับ ใช้กันชนิดที่เรียกว่าพังยับแหลกลาญไปไม่น้อยเลย
และด้วยความที่หนังเรื่องนี้มีตัวละครเยอะมากนะครับ ทั้งเก่า ทั้งใหม่ ทั้งที่ตายแล้วฟื้น คือแทบจะขนตัวละครหลักจากทุกภาคกลับมาหมดแล้วล่ะมั้ง และด้วยความที่ทีมนักแสดงหลายคนในหนัง ก็เคยผ่านหนังซูเปอร์ฮีโรมาแล้วทั้งนั้น ก็ยิ่งชวนให้คิดว่านี่มันหนัง Crossover ระหว่าง Marvel กับ DC หรือเปล่า (วะ) ฉะนั้น บทก็เลยต้องเขียนให้ตัวละครแยกออกเป็นเส้นเรื่องต่าง ๆ โดยมีเส้นเรื่องหลักก็คือดอม ที่ลุยเดี่ยวกับดันเต้เพื่อปกป้องครอบครัว
และมีตัวละครอื่น ๆ แยกไปเล่าเส้นเรื่องรอง ก่อนวกกลับมาเจอกันอีกทีตอนไคลแม็กซ์ กลุ่มแรกก็คือกลุ่มของโรมัน เทจ และแรมซีย์ มันสมองของทีมที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง และรับหน้าที่เล่นมุกซิตคอมที่ฮาบ้างแป้กบ้างแก้เลี่ยนจากฉากแอ็กชันพอได้ เส้นเรื่องการผจญภัยของคู่ลุงหลาน เจคอบ-ลิตเติลไบรอัน ที่ลุงเจคอบในภาคนี้ คาแรกเตอร์ฉีกจากวายร้ายเก๊ก ๆ จากภาค 9 ไปเป็นลุงใจดีที่คอยเป็นบอดี้การ์ดพิทักษ์หลานรักไปซะแล้ว และก็จะได้เห็นน้องไบรอันได้มีซีนโชว์ความเก่งด้วย ซึ่งถ้าน้องจะสืบต่อเป็นโทเรตโตรุ่นต่อไป ผู้เขียนก็ว่าเหมาะสมนะครับ
รวมทั้งเส้นเรื่องที่ตัวแม่ทั้งเลตตี้กับไซเฟอร์ ได้ออกมาฟาดกันแบบ 1 ต่อ 1 เป็นครั้งแรก ซึ่งตัวหนังคงตั้งใจให้เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่หลายคนอยากดูนั่นแหละ แต่ก็พอจับทรงได้ว่าเป็นฉากที่ใส่ ๆ มาเพื่อแค่ให้มีเฉย ๆ อีกจุดสังเกตก็คือ การกระจายบทให้กับตัวละครอันแสนยุ่บยั่บขนาดนี้ ยังไงก็ต้องมีตัวละครเหลือที่ไม่ได้จำเป็นต่อเนื้อเรื่องนัก จนทำให้ตัวละครเหล่านั้นได้มีแอร์ไทม์กันคนละแค่นิดหน่อย ทั้ง มีอา โทเรตโต (Jordana Brewster), ลิตเติล โนบอดี้ (Scott Eastwood) รวมทั้ง ควีนนี ชอว์ (Helen Mirren) และ อะบัวลิตา (Rita Moreno) คุณย่าของดอม ที่แทบจะเป็น Cameo ไปแล้วด้วยซ้ำ แม้แต่วายร้ายดั้งเดิมอย่างไซเฟอร์ ก็มีบทบาทน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
อีกคู่ตัวละครที่แอบเสียดายก็คือ ตัวละครฮาน และ เดคการ์ด ชอว์ (Jason Statham) ที่อยู่ใน End-Credits ภาคที่แล้ว ที่พอมาถึงภาคนี้ แม้ทั้งคู่จะพอมีแอร์ไทม์บ้าง ก็ดันกลายเป็นตัวละครสมทบที่ไม่ค่อยมีบทบาทเด่นมากนักไปเสียอย่างนั้น การฟื้นจากความตายของฮานเลยเป็นแค่เหตุผลแถ ๆ ให้ฮานกลับมาก็เท่านั้นเอง เป็นการมาของตัวละครสำคัญที่เสียของและใช้ไม่ค่อยคุ้ม เผลอ ๆ ตัวละครเซอร์ไพรส์ที่โผล่มาสั้น ๆ ยังน่าจดจำกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนก็แอบอดคิดไม่ได้ว่า หรือการที่บทหนังพยายามจะเชื่อมโยงกลับไปภาค 5 มากกว่า เพราะต้องการจะลืมภาค 9 หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ
แต่ที่ขโมยซีนแบบแน่ ๆ เลยก็คือดันเต้ครับ เรียกว่าเป็นวายร้ายที่แปลกกว่าตัวร้ายจากทุกภาคเลย คือเป็นตัวร้ายที่ทั้งบ้า ความล้น ความขโมยซีน ความกวนเบื้องล่างอยู่ไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวร้ายที่โหด น่าเกลียดและน่ากลัวมาก ๆ มากซะจนซูเปอร์ฮีโรตายยากอย่างดอมยังต้องหวั่นใจ ตัวหนังพยายามจะให้รายละเอียด และสาเหตุของความล้น และความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาของดันเต้ซึ่ง เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ก็เอาอยู่ และนำเสนอบทบาทนี้ได้ออกมาการ์ตู๊นการ์ตูน ซึ่งจะว่าไปมันก็เหมาะกับหนังโม้ ๆ ทำนองนี้แหละนะ
อีกจุดสังเกตที่ทำร้ายหนังเรื่องนี้ก็คือการตัดต่อครับ เป็นหนังที่มีการตัดต่อและวางซีน ไม่ว่าจะเพื่อสร้างความต่อเนื่องของเรื่องราวและอารมณ์ร่วมของหนังก็ตามที แต่ตัวหนังกลับทำออกมาได้เข้าขั้นแย่ เพราะตัวหนังตัดสลับแต่ละซีนได้ไม่ไหลลื่นเอาเสียเลย การตัดสลับซีนบางจุดกลายเป็นข้อเสียที่ทำร้ายหนัง ตั้งแต่การทำให้การตัดสลับซีนออกมาได้ไม่ไหลลื่น และทำร้ายหนักถึงขั้นทำให้บางซีนมีอาการเล่าเรื่องสะดุดงง ๆ จนบางทีก็น่าหงุดหงิดเหมือนกัน
แน่นอนแหละว่า ‘Fast X’ อาจจะยังไม่ได้ถึงกับเป็นภาคที่ดีที่สุดของแฟรนไชส์ ทั้งในแง่บท ฉากแอ็กชัน และการตัดต่อที่ยังไม่เข้าร่องเข้ารอยนัก แต่โดยรวมก็ถือว่าเข้าที่เข้าทางกว่าภาค 9 เยอะ เป็นหนังที่ใส่ทุกอย่างแบบจัดเต็มเพราะรู้ตัวเองและตั้งใจว่าจะมาทางนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร และมูฟออนจากหนังรถแข่งซิ่งสู่หนังซูเปอร์ฮีโรแบบเต็ม ๆ ขนาดฉากแข่งรถเฉย ๆ ก็ยังโม้ได้ รวมทั้งการพยายามเพิ่มเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวที่ถือว่าทำได้น่าสนใจ รวมทั้งบทสรุปจบแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นในภาคไหน ๆ มาก่อนด้วย
แน่นอนว่า นี่คือหนังที่แฟน Fast พันธุ์แท้ยังไงก็ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากฉากซิ่งสุดมัน โดยแก่นแท้มันก็คือหนังแอ็กชันที่มีดีด้วยงานโปรดักชัน และวิชวลกราฟิกที่ทำได้ตามมาตรฐาน รวมทั้งยังอัดแฟนเซอร์วิสจากภาคก่อน ๆ มาให้แบบคุ้ม ๆ แถมยังเล่นมุกจิกกัดตัวเองได้อีกต่างหาก นี่ยังไม่รวมบรรดาตัวละครเซอร์ไพรส์ที่ดาหน้าสร้างสีสันให้ตื่นเต้นกันทั่วหน้าอีกนะครับ
การได้ไปฟังเสียงเครื่องยนต์กระหึ่ม แกล้มป๊อปคอร์นและน้ำอัดลม ยังไงก็ได้ความบันเทิง ได้อรรถรสแน่นอนล้านเปอร์เซนต์ แทนที่จะมานั่งเครียดนั่งคิดนั่งคุ้ยรื้อหาเหตุหาผลรองรับ สู้ปล่อยใจ ปล่อยจอย ลืมทุกหลักการที่เคยรู้ ลืมทุกตรรกะที่เคยเข้าใจ แล้วเอนจอยไปกับความโม้แหลกของหนัง และเฝ้ารอบทสรุปที่เดายาก (มั้ง) ของหนังภาคต่อ ๆ ไปน่าจะดีกว่า
ปล. ตัวหนังมี End-Credits 1 ตัวนะครับ ถ้าถามว่าเซอร์ไพรส์ไหม อืม… ก็…เซอร์ไพรส์แหละ…
The post [รีวิว] Fast X: ปฐมบทปิดฉากครอบครัวเหนือมนุษย์ โม้เข้าที่เข้าทาง แต่บางอย่างยังไม่เข้าร่องเข้ารอย appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/