![[รีวิว] CUBE: ลูกบาศก์มรณะในแบบญี่ปุ่น ที่พยายามให้แข็งแรงขึ้น แต่ก็ห่วยลง](https://assets.beartai.com/uploads/2023/03/MV5BYjYzMTc4NjAtMDA2ZC00ODkzLWJlODEtMTE3OTk1NzI5ZTAxXkEyXkFqcGdeQXVyNzExNDk5MDA@._V1_-1024x682.jpg)
Cube (2021) เรื่องย่อ: เมื่อคนแปลกหน้าทั้ง 6 คนพบว่าตัวเองติดอยู่ในห้องทรงลูกบาศก์ ซึ่งมีประตูทั้งหกด้านที่นำไปสู่กับดักหฤโหดสุดอันตราย และทางรอดเดียวที่มีคือ ทุกคนต้องร่วมมือกันไขปมปริศนาลึกลับต่าง ๆ ที่ดาหน้าเข้ามาแทบทุกนาที เพราะไม่เช่นนั้นทั้ง 6 ชีวิตจะต้องกลายเป็นบุคคลสาบสูญที่ติดอยู่ในลูกบาศก์มรณะนี้ไปตลอดกาล สูดหายใจมิดปอด กอดกายไว้ให้แน่น และเร่งฝีเท้าสู่เกมเย้ยความตายที่ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง
The post [รีวิว] CUBE: ลูกบาศก์มรณะในแบบญี่ปุ่น ที่พยายามให้แข็งแรงขึ้น แต่ก็ห่วยลง appeared first on #beartai.
เรื่องย่อ: เมื่อคนแปลกหน้าทั้ง 6 คนพบว่าตัวเองติดอยู่ในห้องทรงลูกบาศก์ ซึ่งมีประตูทั้งหกด้านที่นำไปสู่กับดักหฤโหดสุดอันตราย และทางรอดเดียวที่มีคือ ทุกคนต้องร่วมมือกันไขปมปริศนาลึกลับต่าง ๆ ที่ดาหน้าเข้ามาแทบทุกนาที เพราะไม่เช่นนั้นทั้ง 6 ชีวิตจะต้องกลายเป็นบุคคลสาบสูญที่ติดอยู่ในลูกบาศก์มรณะนี้ไปตลอดกาล สูดหายใจมิดปอด กอดกายไว้ให้แน่น และเร่งฝีเท้าสู่เกมเย้ยความตายที่ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง
สำหรับคอไซไฟน่าจะจดจำ ‘Cube’ หนังทุนต่ำของแคนาดาที่กลายเป็นปรากฏการณ์ในปี 1997 จากทั้งความเหนือชั้นในการเล่าเรื่องที่ผสมระหว่างความโหดและเกมปริศนาห้องปิดตายที่ต้องอาศํยปัญญาในการเอาตัวรอด และทดสอบสันดานดิบของคนแปลกหน้าเมื่อต้องมาอยู่ร่วมกันภายใต้สถานการณ์อันกดดันที่ตายได้ทุกขณะ ตัวหนังภาคแรกประสบความสำเร็จจนมีภาคต่อออกมาอีก 2 ภาคคือ ‘Cube 2: Hypercube’ (2002) และ ‘Cube Zero’ (2004) ซึ่งไม่ได้ผู้กำกับจากภาคแรกอย่าง วินเซนโซ นาตาลิ (Vincenzo Natali) มามีส่วนร่วมแต่อย่างใด และแม้ตัวแฟรนไชส์จะให้คำตอบของปริศนาที่ชัดเจนมากกว่าหนังภาคแรก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันช่างดูไร้รสนิยมห่างไกลจากหนังภาคแรกไปโข
ที่ต้องเกริ่นเช่นนี้ก็เพราะ ‘Cube’ ในฉบับปี 2021 ที่ได้รับการสร้างใหม่โดยทีมงานชาวญี่ปุ่นนั้น แม้จะเป็นความพยายามที่นำเสนอเรื่องราวตามอย่างหนังภาคแรกที่เป็นตำนาน เสริมเติมแต่งภูมิหลังตัวละครให้ลึกและแข็งแรงขึ้นในแบบญี่ปุ่น แต่ทว่าภาพรวมมันก็ยังไร้รสนิยม ไม่ต่างจากทีมสร้างหนังภาคต่อที่เคยย่ำยีแฟรนไชส์ชุดนี้เอาไว้เลย
โดยส่วนตัวผู้เขียนได้รับชมฉบับญี่ปุ่นนี้ตอนที่เข้าฉายในไทยเมื่อปีที่แล้ว ก่อนที่เน็ตฟลิกซ์จะนำมาฉายและกลายเป็นที่พูดถึงอีกครั้งในตอนนี้ และต้องบอกโดยสัตย์จริงว่าในตอนนัั้นค่อนข้างไปทางผิดหวังอยู่มากทีเดียว และเมื่อได้กลับมาดูใหม่อีกครั้งผ่านเน็ตฟลิกซ์ก็มีหลายอย่างที่มองว่าตอนนั้นอาจจะดูแคลนมากไปสักหน่อย และหลายอย่างก็ตอกย้ำเช่นเดิมว่าหนังบางเรื่องก็ไม่ควรต้องถูกดัดแปลงเลยเสียจะดีกว่า
ในฉบับญี่ปุ่นได้ผู้กำกับที่ค่อนข้างใหม่สำหรับหนังยาวอย่าง ชิมิสุ ยาสุฮิโกะ (Shimizu Yasuhiko) ที่เคยทำหนังเพียงเรื่องเดียวก่อนหน้าเป็นแนวเขย่าขวัญจิตวิทยาชื่อ ‘Vise’ (2019) และไปคว้ารางวัลในเทศกาลหนังสยองขวัญมาได้ทำให้เขาได้รับโอกาสสำคัญในการดัดแปลงหนังไซไฟเรื่องนี้ จุดดึงดูดนอกไปจากความมีชื่อเสียงในกลุ่มเฉพาะของต้นฉบับแล้ว หนังฉบับใหม่นี้ยังได้ดาราแม่เหล็กของญี่ปุ่นเรียงแถวกันมาคับคั่งทีเดียว ทั้ง ซึดะ มาซากิ (Suda Masaki) โอกาดะ มาซากิ (Okada Masaki) ไซโตะ ทาคุมิ (Saitoh Takumi) วาตานาเบะ แอนน์ (Watanabe Anne) เป็นต้น ก็น่าการันตีความนิยมในบ้านได้ตั้งแต่ก่อนฉายแล้ว
หนังมีพัฒนาการในส่วนที่ดีและถูกพูดถึงมากคือการเลือกนำเสนอกลุ่มคนที่แตกต่างจากต้นฉบับ ตัวแทนของกลุ่มคน 6 คนในหนังเรื่องนี้มีนัยของความขัดแย้งระหว่างรุ่น วัฒนธรรมชอบดุด่าของพวกคนรุ่นเก่าที่สื่อผ่านตัวละครเจนบูมเมอร์ของประธานบริษัท ความประหม่ากดดันจากปัญหาจิตใจรวมถึงความไม่เป็นโล้เป็นพายของหนุ่มสาวเจนวายที่สื่อผ่านตัวละครของซึดะและโอกาดะ ความกดดันจากภาระความรับผิดชอบทั้งเรื่องการทำงานและครอบครัวของคนเจนเอ็กซ์ผ่านตัวละครของไซโตะ และความฉลาดเฉลียวแต่ขาดวิธีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในเจนแซดขึ้นไปผ่านตัวละครเด็กชาย โดยมีตัวละครของวาตานาเบะสื่อถึงความเป็นผู้หญิงที่ไม่มีปากมีเสียงในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่อย่างลงตัว
ตรงจุดนี้คิดว่าหนังดัดแปลงมาได้อย่างดีมาก ๆ ยิ่งการขยายปมในจิตใจของตัวละครนำของซึดะที่เคยสูญเสียบุคคลที่รักในครอบครัวไปด้วยก็ทำให้สิ่งที่ตัวละครตอบสนองต่อความกดดันต่าง ๆ ดูจริงขึ้น
ทว่าปัญหาใหญ่จากความพยายามนั้นก็คือ ความไม่น่าเชื่อถือจากปมอดีตที่มากเกินไป ตัวละครถูกกดดันจนมีความคิดอ่านต่ออันตรายในเรื่องที่เอาใจช่วยยาก มันก้ำกึ่งระหว่างตัวละครโง่ ๆ ที่อยู่ดี ๆ ก็จะทำอะไรไม่เมกเซนส์แล้วตายไปไว ๆ กับตัวละครที่สมจริงคือจิตใจอ่อนแอจนไม่สามารถเอาตัวรอดได้เลย อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ผู้ชมว่ามองออกเป็นท่าไหนมากกว่ากัน แต่ผลอย่างหนึ่งก็คือในฐานะของหนังที่มีส่วนผสมของแนวเอาตัวรอด สิ่งที่เกิดขึ้นมันช่างอึดอัดและน่ารำคาญเป็นที่สุด
และความบรรลัยที่สุดของหนังไซไฟเรื่องนี้คือความไม่สมจริงในแง่ความรุนแรง ในต้นฉบับการตายของตัวละครช่างสยดสยองและถูกแสดงออกมาเต็มจอทั้งเลเซอร์ที่หั่นร่างกายคนออกเป็นลูกเต๋า น้ำกรดที่ถูกฉีดใส่ใบหน้าจนยุบลงไปทั้งกระโหลก หรือฉากง่าย ๆ อย่างใบเลื่อยที่บาดขาอย่างหวุดหวิด หนังในปี 1997 ที่เทคโนโลยีการถ่ายทำสู้ปัจจุบันไม่ได้เลย กลับทำได้น่าเชื่อถือและสมจริงกว่ามาก
แต่หนังในปี 2021 กลับเต็มไปด้วยซีจีปลอม ๆ ที่ดูออกว่าไม่ใกล้เคียงของจริงเลย เมื่องานเทคนิคพิเศษไม่ส่งเสริมให้คนดูอิน มันก็พลอยให้ผู้ชมมีสติไปคิดถึงความไม่สมจริงในส่วนอื่นเช่นฉากดรามาต่าง ๆ ที่ฐานแข็งแรงแต่กลับนำมาขยายได้ไร้รสนิยม ตัวละครของโอกาดะที่ควรจะส่งพลังเปลี่ยนบรรยากาศของหนังให้ชวนขนลุกก็กลายเป็นอีกแค่หนึ่งตัวละครที่ช่วยกันทำให้น่ารำคาญขึ้นไปอีก แถมเมื่อถึงจุดหนึ่งบทหนังก็โกงเอาหน้าด้าน ๆ ในการแหกฎของหนังเอง โดยบังคับให้ตัวละครหนึ่งต้องตายผ่านทางกลไกกับดักที่ทะลุข้ามมาจากอีกห้องหนึ่งเสียดื้อ ๆ
และในแง่ของการนำเสนอเรื่องคณิตศาสตร์มาใช้แก้ปัญหาของเรื่องที่ว่าห้องลูกบาศก์มีกลไกกับดักโดยมีรหัสตัวเลขใบ้เส้นทางที่ถูกต้องไว้ เมื่อพิจารณาตามดี ๆ ก็พบว่าในฉบับปี 1997 กลับมีการอธิบายในส่วนของการหาทางออกสุดท้ายที่มีห้องเชื่อมซึ่งอยู่นอกระบบลูกบาศก์นั้นจะดูเข้าท่ากว่าแม้จะเข้าใจยากกว่า ซึ่งในฉบับญี่ปุ่นนั้นแม้จะอธิบายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปและเข้าใจง่ายทั้งเรื่องจำนวนเฉพาะหรือภาพของลูกบาศก์สามมิติ แต่มันก็ยังดูไม่ใช่ในแง่คำอธิบายสุดท้ายอยู่ดี
โดยสรุปก็คงต้องบอกว่าหนังฉบับญี่ปุ่นนั้นมีจุดที่ทำได้ดีกว่าต้นฉบับแค่เรื่องการวางตัวละครและปมความขัดแย้งที่สะท้อนภาพสังคมโลกยุคใหม่ รวมถึงการหักมุมในตอนจบที่ถือว่าหวือหวาพอสมควร ในขณะที่ส่วนอื่น ๆ นั้นหนังที่ทำมาก่อนหน้าถึง 24 ปีกลับชนะขาดไปเลย ใครสนใจชมต้นฉบับปี 1997 ตอนนี้สามารถรับชมได้ทางบริการไพรม์วิดีโอครับ
The post [รีวิว] CUBE: ลูกบาศก์มรณะในแบบญี่ปุ่น ที่พยายามให้แข็งแรงขึ้น แต่ก็ห่วยลง appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/