เว็บไซต์นิ Forbes ได้เปิดเผยเหตุผลที่ Netflix ตัดจบซีรีส์ ไม่อนุมัติสร้างซีซันต่อ แม้กระแสนักวิจารณ์ชม และมีผู้ชมชื่นชอบ กระแสดี
The post เปิดข้อสงสัย เหตุผลที่ Netflix ตัดจบซีรีส์ไม่ยอมสร้างต่อ แม้นักวิจารณ์ชม-ผู้ชมชอบ appeared first on #beartai.
อย่างที่ทราบกันดีว่า เมื่อปลายปี 2022 ที่ผ่านมา แฟน ๆ ของซีรีส์ไซไฟสุดล้ำลึกอย่าง ‘1899’ ผลงานใหม่จากทีมงานผู้สร้างซีรีส์หนักสมองอย่าง ‘Dark’ ที่เผยแพร่บน Netflix เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา ต่างต้องช็อกไปตาม ๆ กัน เมื่อครีเอเตอร์ของซีรีส์อย่าง บารัน โบ โอดาร์ (Baran bo Odar) และ ยันท์เย ฟรีเซอ (Jantje Freise) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ซีซันที่ 2 ของซีรีส์ ‘1899’ จะไม่ได้รับการสร้างต่อ แม้ว่าจะมียอดผู้ชมและคำวิจารณ์ที่อยู่ในระดับที่ดีก็ตาม
สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดคำถามต่อบรรดาแฟน ๆ และก็เรียกได้ว่าเป็นข้อสงสัยของผู้ที่เป็นสมาชิก Netflix มาตั้งแต่ที่บริษัทเริ่มดำเนินการว่า พวกเขาใช้เกณฑ์อะไรบ้างในการตัดสินว่า ออริจินัลซีรีส์ของ Netflix เรื่องใดจะได้ไปต่อ ได้อนุมัติสร้างซีซันต่อ แม้ว่าคำวิจารณ์และอาจค่อนไปทางกลาง ๆ ไม่ได้เด่นในแง่ของกระแสชื่นชม และซีรีส์เรื่องใดที่อาจไม่ได้ไปต่อ ทั้งที่ซีรีส์เรื่องนั้นอาจได้รับคำชมทั้งจากผู้ชมและนักวิจารณ์ว่าดีมาก ๆ ซึ่งหลายครั้งซีรีส์บางเรื่องก็โดนตัดจบ เล่นเอาคนดูต้องผิดหวังเพราะเนื้อเรื่องที่ถูกตัดไปแบบห้วน ๆ
ซึ่งถ้าย้อนดูเมื่อช่วงปี 2022 ที่ผ่านมาก็จะเห็นว่า Netflix ได้ทำการตัดจบซีรีส์ ประกาศว่าจะไม่มีการสร้างซีซันต่อไปแล้วหลายเรื่อง อาทิ ‘Resident Evil‘, ‘First Kill’, ‘Warrior Nun‘, ‘The Midnight Club’ และ ‘Blockbuster’ โดย Forbes ได้ยกกรณีตัวอย่างในการยกเลิกซีรีส์กลางคันด้วยว่า เมื่อเดือนสิงหาคม ซีรีส์วัยรุ่น ‘First Kill’ ที่สตรีมซีซันแรกบน Netflix เมื่อเดือนมิถุนายน 2022 จนเมื่อเดือนสิงหาคม ก็มีประกาศว่าซีรีส์เรื่องนี้ถูกยกเลิก หลังจากที่สตรีมไปได้เพียงซีซันดียวเท่านั้น ทำให้แฟน ๆ ต่างตั้งคำถามว่า ทำไมซีรีส์รอมคอมชื่อดังอีกเรื่องที่มียอดการรับชม (หน่วยเป็นชั่วโมง) น้อยกว่าอย่าง ‘Heartstopper’ กลับได้รับการต่ออายุไปอีก 2 ซีซัน*
โดยมาตรวัดดังกล่าวที่ Forbes อ้างถึงนี้ถูกเรียกว่า อัตราการดูจนจบ (Completion Rate) ซึ่งเป็นอัตราที่วัดจากยอดการดูจนจบซีซันของซีรีส์แต่ละเรื่องที่ผู้ชมเปิดดู โดยเกณฑ์ที่ใช้วัดว่าซีรีส์เรื่องไหนสำเร็จหรือล้มเหลว นั่นก็คือตัวเลขอัตราการดูจนจบ ซึ่งหากซีรีส์เรื่องไหนมีอัตราการดูจนจบต่ำกว่า 50% ก็จะถือว่าซีรีส์เรื่องนั้นล้มเหลว
หมายความว่า หากซีรีส์เรื่องใดมีอัตราการดูจบทั้งซีซันสูงกว่า 50% ก็จะถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ถ้าซีรีส์เรื่องใดมียอดอัตราการดูจนจบของผู้ชมในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็จะถือว่าซีรีส์เรื่องนั้นล้มเหลว แม้ว่าจะมีอัตราการเปิดเข้ามาชมเป็นจำนวนมากก็ตาม ซึ่งในเชิงข้อมูลหมายถึง ยอดของผู้ชมที่ชื่นชอบซีรีส์ (ที่ดูต่อจนจบ) อาจมีตัวเลขต่ำกว่าเกณฑ์ที่ควรจะเป็น โดย Forbes ยังได้เปิดเผยอัตราการดูจนจบของซีรีส์ Netflix เรื่องต่าง ๆ เปรียบเทียบกันดังนี้
ซีรีส์ที่ ‘ได้รับการสร้างซีซันต่อ’ :-
‘Heartstopper’ (อัตราการดูจบ 73%)
‘The Lincoln Lawyer’ (อัตราการดูจบ 56%)
‘Squid Game’ (อัตราการดูจบ 87%)
‘Arcane’ (อัตราการดูจบ 60%)
‘Love Death + Robots’ (อัตราการดูจบ 67%)
ซีรีส์ที่ถูก ‘ยกเลิก’ การสร้างซีซันต่อ :-
‘Resident Evil’ (อัตราการดูจบ 45%) (เคยติดอันดับ 1 ใน Top 10)
‘First Kill’ (อัตราการดูจบ 44%)
‘The Irregulars’ (อัตราการดูจบ 41%)
‘1899’ (อัตราการดูจบ 32%) (ติดอันดับ 2 ผู้ชมมากที่สุดบน Netflix/ขึ้นอันดับ 1 หลายประเทศ)
ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่า อัตราการดูจนจบของซีรีส์ที่ไม่ได้รับการอนุมัติให้สร้างภาคต่อโดยเฉลี่ย จะมีตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 30-40% อย่างกรณีของซีรีส์ ‘1899‘ แม้จะมียอดผู้ชม ตามที่รายงานบนเว็บไซต์ FlixPatrol สูงถึง 87,890,000 ชั่วโมง (ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2022) และสร้างสถิติยอดผู้ชม 79,270,000 ล้านชั่วโมงภายใน 4 วัน แต่กลับมีอัตราผู้ชมซีรีส์ที่ดูจนจบครบทั้ง 8 ตอนเพียง 32% เท่านั้น
ซึ่งสามารถวิเคราะห์เบื้องต้นได้ว่า เมื่อซีรีส์เหล่านี้มีคนดูจบต่ำกว่า 50% และโดยปกติหากสร้างภาคต่อ แนวโน้มอัตราการดูจนจบก็จะลดลงไปอีกอยู่แล้ว ทำให้ Netflix มองว่าอาจจะไม่คุ้มทุนนักหากจะฝืนลงทุนสร้างภาคต่อเพื่อคนดูจำนวน 30-40% เหล่านั้น ซึ่งตรงกับรายงานที่เปิดเผยว่า แผนสร้างซีซันที่ 2 ของซีรีส์ ‘1899’ ต้องล่มกลางคัน เนื่องจากเป็นซีรีส์ที่ใช้ทุนด้านโปรดักชันสูงมาก แต่กลับมียอดจำนวนคนดูน้อยกว่าที่คาด แม้วว่าจะมีกระแสผู้ชม และกระแสวิจารณ์จากนักวิจารณ์อยู่ในระดับดี
แน่นอนว่า เกณฑ์การชี้วัดจากอัตราการดูจนจบนี้ คงไม่ใช่เพียงปัจจัยหลักปัจจัยเดียวที่จะชี้วัดได้ว่าซีรีส์เรื่องใดควรจะได้ไปต่อ หรือซีรีสเรื่องใดไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนสร้างภาตต่ออีกต่อไป เพราะรายงานของ Forbes ยังได้เปิดเผยอีก 2 ปัจจัยที่จะทำให้ซีรีส์ได้ไปต่อหรือไม่ นั่นก็คือ ความยาวของเนื้อหาในแต่ละตอน เพราะถ้าเปรียบเทียบกัน ซึรีส์ ‘First Kill’ นั้นจะมีความยาวต่อตอนที่ประมาณ 45-50 นาที ในขณะที่ซีรีส์ ‘Heartstopper’ มีความยาวต่อตอนเฉลี่ยที่ตอนละ 30 นาที ซึ่งความยาวต่อตอนที่สั้นกว่า ก็ทำให้มีแนวโน้มที่ผู้ชมจะดูติดต่อกันแบบยาว ๆ (Binge Watching) จนจบได้ง่ายกว่าซีรีส์ที่มีความยาวต่อตอนมากกว่า
และอีกปัจจัยที่สำคัญก็คือเรื่องของงบประมาณ เพราะซีรีส์ที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่า ก็จะมีแนวโน้มในการอนุมัติสร้างซีรีส์ต่อได้ง่ายกว่าซีรีส์ที่ใช้ทุนสูง ยกตัวอย่างเช่น ซีรีส์ ‘The Lincoln Lawyer’ ที่ใช้ทุนสร้างน้อยกว่า ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการอนุมัติซีซันต่อมากกว่าซีรีส์ที่ลงทุนด้านโปรดักชันและสเปเชียลเอฟเฟกต์ด้วยเม็ดเงินมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น ‘Resident Evil‘ และ ‘1899‘ ที่ใช้ทุนสร้างมหาศาลถึง 60 ล้านยูโร (64 ล้านเหรียญ)
แน่นอนว่า ทั้งสามปัจจัยก็ยังถือว่าไม่ใช่ปัจจัยกลุ่มเดียวที่จะชี้วัดถึงการอนุมัติสร้างภาคต่อของซีรีส์แต่ละเรื่อง (และไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดในเชิงคุณภาพของคอนเทนต์ซีรีส์เรื่องนั้น ๆ ได้ด้วย) แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า Netflix เป็นบริษัทที่ตัดสินใจโดยอ้างอิงจากการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้ (Data-Driven) เป็นหลักอยู่แล้ว
และรวมทั้งการที่ Netflix ต้องการผลักดันให้ผู้ชมเกิดการดูแบบต่อเนื่อง (Binge Watching) ด้วยการปล่อยซีรีส์ทุกตอนทั้งซีซันออกมาให้ดูต่อกันแบบยาว ๆ แต่อย่างไรก็ตาม หากซีรีส์เรื่องนั้น ๆ มียอดการชมที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน รวมทั้งใช้เงินลงทุนที่สูง หรือแม้แต่การมีกระแสคำวิจารณ์ของซีรีส์ที่อยู่ในขั้นย่ำแย่มาก ๆ การลงทุนสร้างซีซันต่อก็ย่อมไม่คุ้มค่านัก การลงทุนสร้างคอนเทนต์ใหม่ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนดู และเพื่อกระตุ้นยอดสมาชิกใหม่ ๆ จึงน่าจะตอบโจทย์มากกว่า
*หมายเหตุ:
ซีรีส์ ‘First Kill‘ มียอดการรับชมสูงสุด 48,770,000 ชั่วโมง (ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2022)
ซีรีส์ ‘Heartstopper‘ มียอดการรับชมสูงสุด 23,940,000 ชั่วโมง (ณ วันที่ 25 เมษายน 2022)
ที่มา: FlixPatrol
ที่มา: Forbes, Unilad, Inverse, What’s on Netflix, What’s on Netflix(2)
The post เปิดข้อสงสัย เหตุผลที่ Netflix ตัดจบซีรีส์ไม่ยอมสร้างต่อ แม้นักวิจารณ์ชม-ผู้ชมชอบ appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/