อ้างอิงจากผลวิจัยที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร ACS Food Science & Technology ระบุว่า เทคโนโลยีการใช้รังสีอินฟราเรดเพื่ออบป๊อปคอร์น เป็นวิธีการใหม่ที่จะคงความอร่อยของป๊อปคอร์นแต่ช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าการเวฟในไมโครเวฟหรือแม้แต่เครื่องทำป๊อปคอร์น (Air popper)!
The post นักวิทย์ฯเผย การทำป๊อปคอร์นด้วย ‘รังสีอินฟราเรด’ ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าวิธีปกติ! appeared first on #beartai.
อ้างอิงจากผลวิจัยที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร ACS Food Science & Technology ระบุว่า เทคโนโลยีการใช้รังสีอินฟราเรดเพื่ออบป๊อปคอร์น เป็นวิธีการใหม่ที่จะคงความอร่อยของป๊อปคอร์นแต่ช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าการเวฟในไมโครเวฟหรือแม้แต่เครื่องทำป๊อปคอร์น (Air popper)!
วิธีการดังกล่าวถูกใช้ในการให้ความร้อนแก่อาหารโดยการฉายรังสีอินฟราเรดไปที่วัตถุให้ความร้อน เช่น แก้วหรือเซรามิก และก็มีเตาอินฟราเรดที่สามารถย่างเนื้อได้อย่างรวดเร็วมากกว่าเตาทั่วไป แต่การนำรังสีอินฟราเรดมาปรับใช้กับป๊อปคอร์นยังคงเป็นสิ่งแปลกใหม่
ป๊อปคอร์นเกิดจากการที่ความร้อนเข้าไปทำให้น้ำในเมล็ดข้าวโพดระเหยเป็นไอ ส่งผลให้ความดันในเมล็ดข้าวโพดเพิ่มขึ้น เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งความดันที่มากเกินไปจะทำให้เปลือกข้าวโพดแตกกระจายออก จากนั้นเนื้อที่ประกอบด้วยแป้งและโปรตีนภายในเมล็ดก็จะแตกออกมาสู่ด้านนอก และเมื่อสัมผัสกับอากาศก็เย็นตัวลงจนมีลักษณะคล้ายโฟมแบบที่เราเห็นกัน
จุดที่ยากของการทำป๊อปคอร์นคือการใช้ความร้อนในระดับที่พอดี และให้ความร้อนกับมันไม่เร็วไม่ช้าเกินไป ซึ่งนักวิจัยจากองค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งอิหร่าน (IROST) ได้ทดลองวิธีการฉายรังสีอินฟราเรดเพื่อหาคำตอบว่าจะสามารถให้ความร้อนที่พอดีกับการทำป๊อปคอร์นได้หรือไม่
จากการทดสอบพบว่า เมื่อใช้กำลังไฟในระดับ 500 วัตต์จะทำให้เมล็ดข้าวโพดกลายเป็นป๊อปคอร์นได้สำเร็จ และการใช้กำลังไฟที่ระดับ 800 วัตต์ให้ปริมาณป๊อปคอร์นมากที่สุด แต่หากคำนึงถึงความอร่อยของป๊อปคอร์นด้วย พวกเขาพบว่าจุดที่ดีที่สุดคือ 700 วัตต์
เมื่อเทียบกับไมโครเวฟที่ใช้กำลังไฟอยู่ที่ประมาณ 1,000 วัตต์ หรือเครื่องทำป๊อปคอร์นที่ใช้กำลังไฟ 1,400 วัตต์ก็จะเห็นว่า วิธีการใช้รังสีอินฟราเรดช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า และไม่ทำให้ความอร่อยของป๊อปคอร์นลดน้อยลง!
ที่มา: Techspot
The post นักวิทย์ฯเผย การทำป๊อปคอร์นด้วย ‘รังสีอินฟราเรด’ ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าวิธีปกติ! appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/