The Menu เล่าเรื่องของคู่รักอย่าง มาร์โก กับ ไทเลอร์ ที่ได้จองตั๋วไปดินเนอร์ในร้านอาหารระดับ Fine Dining แห่งหนึ่ง โดยร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะที่คนไม่พลุกพล่าน อันเป็นการสร้างบรรยากาศความเป็นส่วนตัวที่ดีให้แขกทั้งหมด
The post [รีวิว] The Menu – คอร์สอาหารแห่งการชำระล้างบาปทั้งปวง appeared first on #beartai.
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ภาพยนตร์กับอาหารนั้นมีองค์ประกอบคล้ายกัน เพราะมีทั้งเชฟ (ผู้กำกับ), ร้านอาหาร (สตูดิโอ), เหล่าคนครัว (ทีมงานในกระบวนการโปรดักชัน) และวัตถุดิบ ซึ่งอาหารจะออกมาดีหรือไม่ ก็อยู่ที่หัวเรือ ว่าจะพาแต่ละเมนูไปในทิศทางไหน นำเสนออย่างไร และเมื่ออาหารจานนั้นเสิร์ฟออกไป อาหารจะไม่ใช่ของเหล่าคนครัวอีกแล้ว แต่จะกลายเป็นของผู้บริโภค (คนดู) ในทันทีที่อาหารเสิร์ฟถึง
The Menu เล่าเรื่องของคู่รักอย่าง มาร์โก กับ ไทเลอร์ ที่ได้จองตั๋วไปดินเนอร์ในร้านอาหารระดับ Fine Dining แห่งหนึ่ง โดยร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะที่คนไม่พลุกพล่าน อันเป็นการสร้างบรรยากาศความเป็นส่วนตัวที่ดีให้แขกทั้งหมด
มาร์โก กับ ไทเลอร์
เมื่อนับรวมมาร์โก กับ ไทเลอร์แล้ว แขกที่มาดินเนอร์ในค่ำคืนนี้มีทั้งหมด 12 คน พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งสร้างความประหม่าให้กับไทเลอร์ทั้งสิ้น กลับกันมาร์โกนั้นรู้สึกว่าบนเกาะนี้มีบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ และเธอเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนกับความประหม่าของไทเลอร์ ขณะเดียวกัน จูเลียน สโลวิก เจ้าของร้านอาหารก็เดินเข้ามา และทำให้บรรยากาศจของร้านมันดูตึงเครียดกว่าเดิม ในที่สุดอาหารมื้อพิเศษที่ผสานด้วยความเจ็บปวดก็ได้เริ่มขึ้น
บทที่บรรจงวางเรื่องราว เสมือนการเสิร์ฟคอร์สอาหาร
ในร้าน Fine Dining เนี่ย จะมีคอร์สการเสิร์ฟอาหารที่ถูกใช้อยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ ขนมปัง, อาหารเรียกน้ำย่อย, เมนูจานหลักและของหวาน ซึ่งในแต่ละคอร์สจะประกอบด้วยอะไรบ้างนั้น ก็แล้วแต่เชฟจะเลือกสรรเสิร์ฟให้คนทาน โดยทุกเมนูมักจะต้องเรียงร้อยต่อกัน และเข้ากันได้ดี เพื่อแสดงถึงความสามารถของเชฟ
The Menu ก็ได้ใช้จุดนี้มาช่วยลำดับเรื่องราวว่า เนื้อหาในหนังตอนนี้คืออะไร และค่อย ๆ ไต่ระดับความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง ให้เปลี่ยนไปตามคอร์สของอาหาร ซึ่งเป็นการนำเสนอที่ชาญฉลาดมาก และเชื่อเลยว่า ถ้าใครชอบดูรายการทำอาหาร น่าจะดูเพลินเป็นพิเศษเลยล่ะ
เนื้อหาในหนังก็จงใจให้แขกทุกคนในร้าน มีปมปริศนาที่เรียงร้อยต่อกัน เช่นเดียวกับหนังแนว Mystery และการเดินเรื่องก็จะค่อย ๆ กะเทาะเปลือกของตัวละครว่าพวกเขาเป็นใคร ทำไมถึงมารวมอยู่ตรงนี้ และพวกเขาจะหาวิธีเอาตัวรอดออกจากที่นี่ได้ยังไง แม้จะแอบเล่นง่าย แต่หนังก็ดีไซน์ตัวละครต่าง ๆ ได้น่าจดจำ ทั้งในฝั่งของลูกค้าและคนครัวก็ด้วย เมื่ออยู่รวมกันก็ทำให้รู้สึกขนลุกเลยล่ะ
หลายรสชาติ หลากอารมณ์
อย่างที่กล่าวไปตอนต้น The Menu ได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยยึดให้โทนของหนัง เป็นเสมือนอาหารคอร์สหนึ่ง นั่นทำให้หนังเรื่องนี้ มีหลายรสชาติเอามาก ๆ คนดูจะได้รู้สึกเหมือนรถไฟเหาะของกราฟอารมณ์ มันจะผสมทั้งความโรแมนติก ปริศนา ตลกร้าย รวมไปถึงจุดหักมุมที่ค่อนข้างพลิกผลันและมีชั้นเชิงเอาเรื่อง แม้เนื้อหาจะดูเล่นง่ายไปหน่อย แต่จังหวะชั้นเชิงของผู้กำกับอย่าง มาร์ก ไมลด (Mark Mylod) ก็ช่วยขับอารมณ์ของหนัง ให้สนุกไปอีกขั้น
เสียดสีวัฒนธรรมของผู้บริโภค
หนังมีจุดที่เล่าถึงคนทานอาหารและนักวิจารณ์ว่า พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาเป็นบ่อนทำลายอาชีพของพ่อครัวได้ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่แสบเอาเรื่อง เพราะพวกเขาตั้งใจเปรียบเปรยกับ ‘เหล่าคนดูและนักวิจารณ์หนัง’ ว่าพวกเขานั้นก็ชอบสับหนังหลายเรื่องให้เละไม่มีชิ้นดี จนวัฒนธรรมการดูหนังของคนดูนั้นเปลี่ยนไป ทำให้ผู้สร้างเริ่มสูญเสียตัวตน และไม่สนุกกับการทำอาหารอีกต่อไป ซึ่งเป็นซีนที่แสบเอาเรื่อง เชื่อเลยว่าต่อให้เป็นคนดูปกติที่ไม่ใช่นักวิจารณ์ ก็ต้องตบเข่าฉาดกับซีนเหล่านี้
แม้ว่าหนังจะมีลูกเล่นที่แพรวพราวอันแสดงถึงกึ๋นของผู้กำกับ แต่หนังก็ยังมีจุดที่ไม่เคลียร์อยู่หลายอย่าง ซึ่งผู้สร้างก็ตั้งใจทิ้งปมปริศนาไว้ให้เรามานั่งงมกันอีกทีว่า พวกเขาต้องการจะสื่ออะไร แต่เชื่อเถอะว่าบางคนก็รู้สึกเหนื่อยกับทางเลือกที่หนังพาไป เพราะไม่ใช่ทุกคนจะสนุกกับการต้องมานั่งวิเคราะห์ในสิ่งที่ไม่อธิบายไว้
และที่กล่าวมาทั้งหมด The Menu คงไปไม่สุด ถ้าไม่ได้พลังการแสดงของ เรล์ฟ ไฟนส์ (Ralph Fiennes), แอนยา เทย์เลอร์-จอย (Anya Taylor-Joy) และ นิโคลัส เฮาลต์ (Nicholas Hoult) ที่มาช่วยเติมเต็ม และอุดช่องว่างอันธรรมดาของหนัง พวกเขาปล่อยของกันอย่างสุดพลัง จนทำให้เรารู้สึกสนุกกับการปะทะคารมของพวกเขา ซึ่งทั้งนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็ช่วยให้หนังเรื่องนี้ไปต่อได้อย่างดี เรียกได้ว่าสิ่งที่ดึงดูดให้เราอยากดูต่อจนจบเรื่อง ก็คือการแสดงนี่แหละ เพราะพวกพี่แกอัดอารมณ์ใส่กันอย่างบ้าพลัง ประหนึ่งดู Hell’s Kitchen ก็ไม่ปาน
โดยรวม The Menu เป็นหนังที่มีลูกเล่นสนุก ใช้พื้นที่จำกัดได้อย่างคุ้มค่า แม้จะเขียนบทเหมือนหนังแนวปริศนาที่มีบาดแผลเหวอะหวะ แต่ก็ทดแทนด้วยการนำเสนออันแสบสันด้วยวิชวลที่แปลกและมีลูกเล่น สำหรับใครที่จะลองดู แนะว่าให้ทำหัวให้โล่งสบาย ๆ เพราะอารมณ์ของหนังมันจะเหมือนรถไฟเหาะที่พาเราจนไปสุดทาง แม้มันจะไม่ใช่รสชาติที่กลมกล่อม แต่ก็เป็นรสชาติที่น่าลองทานดูสักครั้ง
The post [รีวิว] The Menu – คอร์สอาหารแห่งการชำระล้างบาปทั้งปวง appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/