หากถามว่าดนตรีประเภทไหนที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง แกรมมี อวอร์ดส (Grammy Awards) มากที่สุดเกือบทุกปี หวยคงมาตกที่ดนตรีที่มีชื่อคล้องจองกันอย่าง ‘ฮิปฮอป (Hiphop)’ ‘ฮิปฮอป’ เป็นดนตรีที่มีการพัฒนามาจากดนตรีแบล็ก มิวสิค (Black Music) ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นดนตรีบลูส์, กอสเปล, โซล, ฟังก์ และโดยเฉพาะ ‘ดนตรีแจ๊ส’ ซึ่งเปรียบเสมือนรากของดนตรีฮิปฮอปในปัจจุบัน ฮิปฮอปเริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงต้นยุค 70s ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐโดยเฉพาะเมืองฝั่งอีสต์โคสต์อย่างนิวยอร์ก ซิตี้ เกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง สภาเมืองต้องตัดงบประมาณด้านการศึกษา ผนวกกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังมานาน โดยเฉพาะย่านบร็องซ์ ในนิวยอร์ก ที่ผู้คนตกงานจำนวนมาก แถมสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ก็มีอาชญากรรมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่สิ้นหวังในการใช้ชีวิต ก็พยายามค้นพบหนทางสู่ความสุขของตัวเองเท่าที่จะเป็นไปได้ หนึ่งในนั้นก็คือชายที่ชื่อ ‘แอฟริกา แบมบาตา (Afrika Bambaataa)’ แบมบาตาเป็นชายคนแรก ๆ ที่เริ่มต้นพัฒนาดนตรีฮิปฮอปขึ้นมา เขาเริ่มจากการนำแผ่นเสียงของศิลปินผิวสียุคดิสโก้หรือแจ๊ส มาเปิดคู่กับเทิร์นเทเบิลของเขา ก่อนจะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ในห้องนอนของตัวเอง ซึ่งความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ได้ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายไปในหมู่ของคนผิวสีทั่วประเทศ ฟากฝั่งเวสต์โคสต์ ฮิปฮอปของที่นี่มีจุดเริ่มต้นที่คล้ายคลึงกัน หลังจากที่วัฒนธรรมดีเจแพร่ขยายไปทั่วสหรัฐฯ ดีเจอายุน้อยหลายคนก็เริ่มนำผลงานแผ่นเสียงของศิลปินแจ๊สยุคฟรีแจ๊ส, อวอง การ์ด, ฮาร์ดบ็อพ อย่าง ออร์เน็ตต์ โคลแมน (Ornette Coleman), อัลเบิร์ต ไอย์เลอร์ (Albert Ayler), เฮอร์บี แฮนค็อก (Herbie Hancock) หรือ จอห์น โคลเทรน (John Coltrane) ในยุคหลัง ๆ
The post รุ่นพ่อ! ‘ฮิปฮอป’ จากดนตรีในห้องนอน สู่สุ้มเสียงที่สะท้อนการถูกเหยียดหยามจากมนุษย์ด้วยกัน appeared first on #beartai.
หากถามว่าดนตรีประเภทไหนที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง แกรมมี อวอร์ดส (Grammy Awards) มากที่สุดเกือบทุกปี หวยคงมาตกที่ดนตรีที่มีชื่อคล้องจองกันอย่าง ‘ฮิปฮอป (Hiphop)’
‘ฮิปฮอป’ เป็นดนตรีที่มีการพัฒนามาจากดนตรีแบล็ก มิวสิค (Black Music) ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นดนตรีบลูส์, กอสเปล, โซล, ฟังก์ และโดยเฉพาะ ‘ดนตรีแจ๊ส’ ซึ่งเปรียบเสมือนรากของดนตรีฮิปฮอปในปัจจุบัน
ฮิปฮอปเริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงต้นยุค 70s ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐโดยเฉพาะเมืองฝั่งอีสต์โคสต์อย่างนิวยอร์ก ซิตี้ เกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง สภาเมืองต้องตัดงบประมาณด้านการศึกษา ผนวกกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังมานาน โดยเฉพาะย่านบร็องซ์ ในนิวยอร์ก ที่ผู้คนตกงานจำนวนมาก แถมสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ก็มีอาชญากรรมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่สิ้นหวังในการใช้ชีวิต ก็พยายามค้นพบหนทางสู่ความสุขของตัวเองเท่าที่จะเป็นไปได้ หนึ่งในนั้นก็คือชายที่ชื่อ ‘แอฟริกา แบมบาตา (Afrika Bambaataa)’
แบมบาตาเป็นชายคนแรก ๆ ที่เริ่มต้นพัฒนาดนตรีฮิปฮอปขึ้นมา เขาเริ่มจากการนำแผ่นเสียงของศิลปินผิวสียุคดิสโก้หรือแจ๊ส มาเปิดคู่กับเทิร์นเทเบิลของเขา ก่อนจะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ในห้องนอนของตัวเอง ซึ่งความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ได้ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายไปในหมู่ของคนผิวสีทั่วประเทศ
ฟากฝั่งเวสต์โคสต์ ฮิปฮอปของที่นี่มีจุดเริ่มต้นที่คล้ายคลึงกัน หลังจากที่วัฒนธรรมดีเจแพร่ขยายไปทั่วสหรัฐฯ ดีเจอายุน้อยหลายคนก็เริ่มนำผลงานแผ่นเสียงของศิลปินแจ๊สยุคฟรีแจ๊ส, อวอง การ์ด, ฮาร์ดบ็อพ อย่าง ออร์เน็ตต์ โคลแมน (Ornette Coleman), อัลเบิร์ต ไอย์เลอร์ (Albert Ayler), เฮอร์บี แฮนค็อก (Herbie Hancock) หรือ จอห์น โคลเทรน (John Coltrane) ในยุคหลัง ๆ (อัลบั้ม ‘A Love Supreme’) มา Loop หรือทำ Sampling เรียกได้ว่านำสุ้มเสียงเก่า ๆ เหล่านั้นมาขัดสีฉวีวันใหม่ในแบบฉบับของตัวเอง โดยดีเจคนแรก ๆ ที่คิดค้นสิ่งนี้ก็คือ Dr. Dre
พอ Dr. Dre เริ่มจากการนำแผ่นเสียงเหล่านั้น มาเล่นกับบีท (beat) ของเพลงมากขึ้นก็ก่อเกิดเป็นดนตรีแนวใหม่ที่มีชื่อว่า ‘ฮิปฮอป’ ในเวลาต่อมามีการแบ่งฮิปฮอปออกเป็น 2 แบบ นั่นก็คือแบบ อีสต์โคสต์ (East Coast) และ เวสต์โคสต์ (West Coast) ซึ่งฮิปฮอปทั้ง 2 แบบนี้ ค่อนข้างมีความใกล้เคียงกันอย่างมาก จะแตกต่างกันที่เรื่องซาวด์ และความหนักแน่นของเนื้อหาแค่นิดหน่อยเท่านั้น
อีสต์โคสต์ฮิปฮอป จุดเริ่มต้นมาจากนิวยอร์ก ซิตี้ มีศิลปินชูโรงอย่าง The Notorious B.I.G., DJ Kool Herc หรือ Run-D.M.C. ส่วนเวสต์โคสต์ฮิปฮอป จุดเริ่มต้นมาจากลอสแอนเจลิส มีศิลปินชูโรงอย่าง N.W.A, Snoop Dogg, ทูพัค ชาเคอร์ (Tupac Shakur) หรือ เคนดริก ลามาร์ (Kendrick Lamar) ในปัจจุบัน
‘แรป (Rap)’ คือการพูดในลักษณะคำกลอนลงบนจังหวะเพลง วิธีการร้องมักจะคล้ายกับเสียงพูด ซึ่งแรปถือเป็นองค์สำคัญประกอบของวัฒนธรรมดนตรีฮิปฮอป การแรปส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับทุกอย่างบนโลก ทั้งเรื่องสังคม ความรัก หรือแม้กระทั่งการเมือง เรามักจะเรียกศิลปินที่แรปว่า ‘แรปเปอร์’
นักประวัติศาสตร์ดนตรีหลายคนเคยพูดไว้ว่า แท้จริงแล้ว ‘แรป’ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมคนผิวสีมาอย่างยาวนาน ย้อนกลับไปช่วงปี 1800 สมัยนั้นคนผิวสีที่ทุกข์ทรมานจากการเป็นทาส มักจะระบายความอัดอั้นในใจผ่านการพูดประกอบดนตรี (Speech-song) ซึ่งสิ่งนี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของดนตรีกอสเปล บลูส์ แจ๊ส และฮิปฮอปในเวลาต่อมา
‘แรปเปอร์ (Rapper)’ มักจะใช้การแรปของตัวเองเป็นตัวสะท้อนสิ่งที่พวกเขาคิดต่อสังคมหรือโลก หากให้ยกตัวอย่างศิลปินแรปที่โดดเด่นในเรื่องนี้ ก็คงหนีไม่พ้นวง N.W.A ที่มักจะใช้การแรปของพวกเขาสะท้อนปัญหาโครงสร้างสังคม โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาการใช้ความรุนแรงของตำรวจต่อคนผิวสีในคอมป์ตัน ในตอนนั้นเพลงส่วนใหญ่ของ N.W.A หลายเพลงมีท่อนแรปด่า จนท.ตำรวจ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงอย่างมาก จนหลายครั้งทางวงถูกแบนจากการเล่นคอนเสิร์ตหรือทำอัลบั้มเลยทีเดียว พวกเขาเปรียบการแรปของตัวเองเป็นการระบายความรู้สึกต่อการถูกกดขี่ทางด้านเชื้อชาติ ถ้าใครเคยได้ชมหนัง ‘Straight Outta Compton’ ก็คงได้เห็นฉากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงกับคนผิวสีในเมืองคอมป์ตันอยู่แทบจะทั้งเรื่อง
โลกของดนตรีฮิปฮอป มีหัวใจอยู่ที่การแรปอย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น และบ่อยครั้งที่แรปเปอร์มักจะคิดค้นศัพท์แสลงใหม่ ๆ ขึ้นมา จนเป็นคำศัพท์ที่รู้กันและถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายจวบจนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่นอัลบั้ม ’The Chronic’ ผลงานเดี่ยวชุดแรกในปี 1992 ของ Dr. Dre มีการสร้างสรรค์คำเฉพาะขึ้นมาใหม่มากมาย โดยคำเหล่านี้มาจาก Snoop Dogg ที่เปลี่ยนคำต่าง ๆ โดยการเพิ่มคำว่า “izzle” ต่อท้ายคำเหล่านั้น จนกลายมาเป็นศัพท์ใหม่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นคำว่าบ้าน (house) ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น “hizzouse” หรือคำว่าแน่นอน (for sure) ก็ถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า “fo’shizzle” แทน
ถ้าพูดถึงดนตรีแรปหรือฮิปฮอปสมัยใหม่ ศิลปินหลายคนมักจะย้อนกลับไปหาสุ้มเสียงแบบเดิม ๆ ในยุค 60-80s จะเห็นได้ว่า เคนดริก ลามาร์ หันมาสนใจดนตรีแจ๊ส และนีโอ โซลมากขึ้นโดยผลงานที่เห็นได้ชัดคือ ‘To Pimp A Butterfly’ ซึ่งเป็นอัลบั้มที่มีส่วนผสมของดนตรีแจ๊สหนักมาก เช่นเดียวกับ เจ. โคล (J. Cole) เอง กับอัลบั้ม ‘4 Your Eyez Only’ ก็เต็มไปด้วยอิทธิพลของดนตรีโซลและแจ๊สอัดแน่นอยู่ในนั้น
การแรปในปัจจุบัน มักจะมีเนื้อหาที่สะท้อนถึงปัญหาสังคม เรื่องของการเสียดสีตำรวจอาจจะน้อยลง (แต่ยังคงมีอยู่) แต่เรื่องของเชื้อชาติยังคงเป็นสิ่งที่เราได้เห็นอยู่แทบจะทุกวัน Childish Gambino หรือ โดนัลด์ โกลเวอร์ (Donald Grover) นักร้องนักแสดงหนุ่ม ฝากผลงานที่สะท้อนปัญหาสังคมในอเมริกันได้อย่างแอบยลที่สุด ในมิวสิควิดีโอระดับไวรัลของเขาอย่าง ‘This Is America’ เขาได้สะท้อนสัญลักษณ์ทางการเมืองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจำลองเหตุการณ์การยิงกราดในโรงเรียน ความรุนแรงจากการใช้อาวุธปืน หรือเหยียดเชื้อชาติในสังคมสหรัฐฯ
ปัจจุบันนอกจากดนตรีฮิปฮอปจะกลายมาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมดนตรีโลกแล้ว มันยังแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมอื่น ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ กีฬา หรือแม้กระทั่งแฟชัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้ดนตรีที่เคยถูกสร้างขึ้นจากในห้องนอน ได้กลายมาเป็นดนตรีที่มีอิทธิพลต่อคนทั้งโลก
The post รุ่นพ่อ! ‘ฮิปฮอป’ จากดนตรีในห้องนอน สู่สุ้มเสียงที่สะท้อนการถูกเหยียดหยามจากมนุษย์ด้วยกัน appeared first on #beartai.
Credit ข่าวจาก : www.beartai.com/