ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราระหว่างวันที่ 1-5 พฤศจิกายน 2564 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (1/11) ที่ระดับ 33.33/35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (29/10) ที่ระดับ 33.18/20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าหลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผย ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 4.4% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2534 ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือน ก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือน ส.ค. นอกจากนี้นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะทำการคัดเลือกประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ โดยในรายงานระบุว่า นายเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนปัจจุบันนั้นมีแนวโน้มที่จะได้ครองเก้าอี้ต่อไปเป็นสมัยที่ 2 แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบุคคลอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมด้วยเช่นกัน ส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนบางรายแสดงความวิตกกังวลว่า ตลาดการเงินอาจจะเผชิญกับความผันผวน หากท้ายที่สุดแล้วประธานาธิบดีไบเดนเลือกประธานเฟดคนใหม่ที่พลิกโผจากการคาดการณ์ ส่วนในคืนวันจันทร์ (1/11) สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 60.8 ในเดือน ต.ค. โดยระดับดัชนีได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่ที่แตะระดับต่ำสุด 16 เดือน ท่ามกลางการขาดแคลน วัตถุดิบและแรงงานในขณะที่ไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 58.4 ในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ต่อมาในคืนวันพุธ (3/11) ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 571,000 ตำแหน่งในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. จากระดับ 523,000 ตำแหน่งในเดือน ก.ย. โดยตัวเลขการจ้างงานดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 400,000 ตำแหน่ง และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 66.7 ในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2540 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 62.0 จากระดับ 61.9 ในเดือน ก.ย. นอกจากนี้ในคืนวันพุธ (3/11) คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุม นอกจากนี้ เฟดจะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย. โดยเฟดจะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ และปรับลดวงเงินซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) เดือนละ 5,000 ล้านดอลลาร์ การลดวงเงิน QE ดังกล่าวจะทำให้เฟดยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงในกลางปี 2565 อย่างไรก็ดี แถลงการณ์ระบุว่าเฟดไม่ได้มีการดำเนินการอย่างตายตัว และเฟดจะทำการปรับมาตรการ หากมีความจำเป็น โดยเฟดก็พร้อมที่จะปรับวงเงินการซื้อพันธบัตร หากมีการเปลี่ยนแปลงต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ในช่วงท้ายสัปดาห์ ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าเทียบเงินปอนด์หลัง BoE คงดอกเบี้ยในการประชุม ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 269,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 และต่ำกว่าที่คาดที่ระดับ 275,000 ราย ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 11.2% สู่ระดับ 8.09 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสูงกว่าสถิติเดิมที่ทำไว้ในเดือน มิ.ย.ที่ระดับ 7.32 หมื่นล้านดอลลาร์ จากคาดก่อนหน้านี้ว่าจะขาดดุลการค้า 8.05 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน ก.ย. นอกจากนี้ สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนพุ่งขึ้น 15% สู่ระดับ 3.65 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนในคืนวันศุกร์นี้ตลาดจับตารายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ต.ค.อย่างใกล้ชิด
สำหรับปัจจัยภายในประเทศในวันพุธ (3/11) นายสนั่น อังอุบลกุล ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี’64 ดีขึ้นมาอยู่ในกรอบ 0.5-1.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 0.0-1.0% เนื่้องจากนโยบายเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. 2564 และการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและประชาชน ส่วนการส่งออก ยังคงคาดว่ามีแนวโน้มจะขยายตัวราว 12-14% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0-1.2% ซึ่งมองว่าตัวเลขนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ไม่มีการระบายซ้ำเพิ่มเติมของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 33.00-33.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดในวันศุกร์ (5/11) ที่ระดับ 33.32/34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดในวันจันทร์ (1/11) ที่ระดับ 1.1558/60 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (29/10) ที่ระดับ 1.1652/54 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยค่าเงินยูโรปรับตัวอ่อนค่าหลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อในแถบยูโรโซนนั้น สำนักงานสถิติยุโรป (Eurostat) เปิดเผย อัตราเงินเฟ้อของประเทศในยูโรโซนเดือน ต.ค.ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 13 ปี โดยอัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร 19 ประเทศปรับตัวขึ้นแตะ 4.1% ในเดือน ต.ค.จากระดับ 3.4% ในเดือน ก.ย.และมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 3.7% ทั้งนี้ ในวันพุธ (3/11) นายคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณว่า ECB ไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยกล่าวว่า “แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้นในขณะนี้ แต่มีแนวโน้มปรับตัวลงในระยะกลาง ทำให้ ECB ยังไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า” โดย ECB คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ระดับ 2% ในปีหน้า จากระดับสูงกว่า 4% ในขณะนี้ นอกจากนี้ นางลาการ์ดยังกล่าวว่า ECB จะยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรเพื่อให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวลง โดยระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบ 1.1585-1.1690 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (5/11) ที่ระดับ 1.1557/61 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดในวันจันทร์ (1/11) ที่ระดับ 114.14/16 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (29/10) ที่ระดับ 113.72/74 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเยว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคญี่ปุ่นประจำเดือน ต.ค.ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศลดลงมาก จนส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกภาวะฉุกเฉินในทุกพื้นที่ โดยดัชนีความเชื่อมั่น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.4 จุดจากเดือน ก.ย. มาอยู่ที่ 39.2 จุดในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการระบาดโรคโควิด-19 นอกจากนี้ผลการเลือกตั้งที่พรรคแอลดีพีคว้าชัยชนะตามความคาดหมาย และได้ครองที่นั่งข้างมากในสภา ซึ่งจะทำให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านสภาอย่างราบรื่น หลังจากก่อนเลือกตั้ง นายฟูมิโอะ คิชิเดะ ให้ได้คำมั่นสัญญาว่าจะทุ่มงบประมาณนับล้านล้านเยนเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก นอกจากนี้ในวันพฤหัสบดี (4/11) นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เปิดเผยว่าบีโอเจ ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในเร็ว ๆ นี้ หลังเฟดประกาศตัดสินใจที่จะเริ่มปรับลดวงเงิน QE เมื่อคืนวันพุธ โดยระบุว่าจะผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 113.30-114.30 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (5/11) ที่ระดับ 113.77/78 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
อ่านข่าวต้นฉบับ: ค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ หลัง Fed ประกาศลดวงเงิน QE ตามคาด
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวการเงิน #การเงินการลงทุน