ปี 2564 นี้ ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์เงินบาทอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 4 ปีไปแล้ว ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า จะอ่อนค่าทะลุ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐหรือไม่
โดย “พูน พานิชพิบูลย์” นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย บอกว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 1 ต.ค. 2564 เงินบาทอ่อนค่าไปแล้ว 11.3% ซึ่งมองไปข้างหน้า ยังมีโอกาสอ่อนค่าไปแตะ 34.00 บาทได้ อย่างไรก็ดี โอกาสที่จะเห็นเงินบาททะลุ 34.00 บาทขึ้นไปเรื่อย ๆ อาจจะมีความเป็นไปได้น้อยเนื่องจากแรงกดดันที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลดลงไป เช่น ราคาทองคำที่ปรับเพิ่มขึ้นรวมถึงปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในประเทศที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มกลับมาทรงตัว และการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ดีขึ้น
“ปัจจัยในระยะสั้นที่สำคัญที่จะหนุนค่าเงินบาททดสอบระดับ 34.00 บาท จะมาจากประเด็นการขยับเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 ต.ค.นี้ หากไม่สามารถตกลงกันได้จะทำให้สหรัฐ ผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งตลาดจะปิดรับความเสี่ยง ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าไปอีกได้ รวมถึงประเด็นความเสี่ยงจากปัญหาขาดสภาพคล่องในจีนที่ยังต้องติดตาม”
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยมองกรอบเงินบาทในไตรมาส 4 นี้จะอยู่ที่ 33.00-33.25 บาท หากไม่มีปัจจัยความเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น น้ำท่วมขยายวงกว้าง มีความรุนแรงและกระทบนิคมอุตสาหกรรมหรือการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจได้ คาดว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าได้
“เราเห็นเงินบาทอ่อนค่าพอสมควร นับตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา โดยจะเห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาคอมเมนต์ เพราะกังวลไม่อยากให้เงินบาทผันผวนเร็ว อย่างไรก็ดี เงินบาทอ่อนในมุมผู้ส่งออกมองว่ายังโอเคช่วยบรรเทายอดขายที่ชะลอตัวก่อนหน้านี้ได้ แต่ในมุมผู้นำเข้าหากไม่มีการปิดความเสี่ยง ค่าเงินจะกระทบหนักเลย เพราะโดนสองต่อ ทั้งเงินบาทอ่อนและต้นทุนสินค้าแพง จากปัญหา supply chain” นายพูนกล่าว
ด้าน “ชญาวดี ชัยอนันต์” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า ทิศทางค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินคู่ค้าคู่แข่ง ส่วนหนึ่งจากการระบาดของโควิดในประเทศที่ยืดเยื้อ รวมถึงปัจจัยดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นโดยในเดือน ส.ค.ขาดดุล 2.5 พันล้านดอลลาร์ และในช่วง 8 เดือนแรกไทยขาดดุลอยู่ที่ 1.02 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ จะเห็นว่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าค่อนข้างมากในช่วงปลายเดือน ก.ย. ซึ่งปัจจัยหลักมาจากนโยบายการเงินของประเทศหลัก เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ส่งสัญญาณการกลับข้างนโยบายการเงินที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงปัญหาของบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ที่อาจจะลุกลามกลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบในจีน
“จากปัจจัยหลากหลาย ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนสูง และอ่อนค่าค่อนข้างเร็ว อย่างไรก็ดี ธปท.ได้เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้มีความผันผวนเร็วเกินไป” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท.กล่าว
ขณะที่ “รุ่ง สงวนเรือง” ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า กรุงศรีมองเงินบาทไตรมาส 4 อ่อนค่าในกรอบ 32.50-34.50 บาท มีความผันผวนสูง โดยปัจจัยชี้นำหลักอยู่ที่นโยบายเฟด เรื่องการลดการเข้าซื้อพันธบัตร (QE) ปลายปีนี้ และขึ้นดอกเบี้ยในปี 2565 นอกจากนี้ ยังติดตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และภาวะเงินเฟ้อโลก ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย อย่างไรก็ดี หากเฟดมีการคุมเข้มนโยบายการเงินเร็วกว่าคาดอาจเห็นเงินบาทอ่อนค่าไปแตะระดับกรอบบนที่ 34 บาทได้
ทั้งนี้ ในช่วงที่เงินบาทมีความผันผวนสูงและอ่อนค่าเร็ว จะมีผลกระทบเชิงลบต่อผู้นำเข้า จากค่าเงินดอลลาร์แพงขึ้น และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ค่าขนส่ง อยู่ในระดับสูง ส่วนผู้ส่งออกซึ่งใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก หรือกลุ่มเทคโนโลยี จะได้รับผลเชิงบวกเติบโตตามอุปสงค์โลกได้
“แนะนำผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (hedging) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่นกับประเทศคู่ค้าในกรณีที่ทำได้” นางสาวรุ่งกล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับ: เงินบาทอ่อนค่านำภูมิภาค ผู้นำเข้าอ่วมเจอ 2 เด้ง ธปท.ยันดูแลใกล้ชิด
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวการเงิน #การเงินการลงทุน