คอลัมน์ สามัญสำนึก
พิเชษฐ์ ณ นคร
นับจากวันที่ 1 ก.พ. 2559 ที่ พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ อีกไม่กี่เดือนการจัดเก็บภาษีมรดกในประเทศไทยจะครบ 5 ปี
มาดูกันว่าผลการจัดเก็บภาษีมรดกที่ผลักดันมานาน ผ่านรัฐบาลหลายยุคสมัย เป็นหนึ่งในกฎหมายไม่กี่ฉบับที่แท้งแล้วแท้งอีก สุดท้ายร่างกฎหมายภาษีมรดกที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประกาศใช้เป็นกฎหมายในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2558 ถูกนำมาบังคับใช้จริงแล้วผลในทางปฏิบัติเป็นอย่างไร
หลังไส้ในถูกปรับเปลี่ยนแก้ไขใน สนช.ที่ส่วนใหญ่เป็นคนระดับบน ข้าราชการระดับสูง ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ตัวแทนจากภาคธุรกิจ ฯลฯ มีที่ดิน ทรัพย์สินในมือหลักร้อยล้านพันล้านบาท จนทำให้ร่างกฎหมายที่ดูดีในช่วงตั้งไข่กลายพันธุ์ไปเยอะ
ตะแกรงร่อนถูกถ่างให้กว้างขึ้น เศรษฐี นายทุนจำนวนไม่น้อยหลุดรอดไม่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมรดก ทั้งยังสามารถใช้แท็กติก วิธีการในการบริหารจัดการอีกสารพัดในการหลบเลี่ยง
โดยเฉพาะการปรับแก้บทบัญญัติจากเดิมที่กำหนดให้ผู้รับมรดกมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในส่วนที่มีมูลค่าเกินจาก 50 ล้านบาท อัตราร้อยละ 10 เป็นให้เสียภาษีมรดกส่วนที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาทขึ้นไป
ถามว่ากฎหมายที่ออกมาตอบโจทย์ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย จากเดิมที่มุ่งเน้น 3 หลักการสำคัญคือ 1.ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ของประชาชน 2.เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม และ 3.เพื่อสร้างรายได้เข้ารัฐ ได้มากน้อยแค่ไหน
ยอดจัดเก็บรายได้จากภาษีมรดกตั้งแต่ปีแรกปี 2560 จนถึงล่าสุดปี 2563 ที่ผ่านมา น่าจะเป็นคำตอบชัดเจน
ไม่ต่างจากการผลักดันจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เจอแรงต้านโดยใช้เกษตรกร คนชั้นกลางซึ่งได้รับผลกระทบจากการถูกจัดเก็บภาษีด้วยบังหน้า ทำให้ร่างกฎหมายภาษีที่ดินฯ ถูกยำใหญ่พอ ๆ กับภาษีมรดก แถมเจอวิบากกรรมวิกฤตเศรษฐกิจ และสถานการณ์โควิด-19 น่าจะยังอีกนานกว่ารัฐจะมีรายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
มาดูกันว่าในส่วนของภาษีมรดกนั้น หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้เกือบ 5 ปี แต่ละปีสร้างรายได้เข้ารัฐมากน้อยแค่ไหน
ข้อมูลจากกรมสรรพากรระบุว่า ปี 2560 มียอดจัดเก็บรายได้จากภาษีมรดกเป็นปีแรก 65.075 ล้านบาท จากนั้นปี 2561 จัดเก็บได้ 219.195 ล้านบาท ปี 2562 จัดเก็บได้ 450.606 ล้านบาท และล่าสุด ปี 2563 ที่ผ่านมาจัดเก็บภาษีมรดกได้รวม 158.941 ล้านบาท สร้างรายได้เข้ารัฐเกือบอันดับสุดท้ายเมื่อเทียบกับภาษี หรือรายได้อื่น ๆ
จู่ ๆ หยิบยกประเด็นภาษีมรดกขึ้นทบทวนความจำก็เพราะโควิด-19 กับวิกฤตเศรษฐกิจทำให้ประเทศไทย คนไทยเผชิญมรสุมลูกใหญ่ ล่าสุด 20 ก.ย.ที่ประชุมคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมเป็นประธาน เห็นชอบให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะเพิ่ม จากเดิมต้องไม่เกิน 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นไม่เกิน 70% ของ GDP ให้รัฐบาลก่อหนี้ กู้เงินเพิ่มแก้วิกฤตประเทศ
หลายฝ่ายประสานเสียงรับ แต่เสนอให้รัฐหารายได้เพิ่มด้วยการรื้อโครงสร้างหรือขยายภาษี อย่างภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ฯลฯ
คิดได้แต่ทำได้จริงหรือไม่เป็นอีกเรื่อง อย่างภาษีมรดกกว่าผลักดันออกกฎหมายสำเร็จ เหมือนเป็นผลงานชิ้นโบแดง แต่ใครเห็นรายได้จากภาษีมรดกแต่ละปีแล้วต้องส่ายหน้า เพราะยอดจัดเก็บต่ำกว่ารายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หลาย ๆ แห่งตั้งเยอะ
ศบค.ชุดเล็กชงคลายล็อกเพิ่ม 11 กิจการ ขยายเคอร์ฟิว 4 ทุ่ม ถึง ตี 4
ประกาศเตือน พายุโซนร้อน “เตี้ยนหมู่” ฉบับที่ 4 เสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลัน
อ่านข่าวต้นฉบับ: 5 ปีภาษีมรดก จิ๊บจ๊อยหลักร้อยล้าน
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวการเงิน #การเงินการลงทุน