ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ท่ามกลางปัจจัยลบ ตลาดจับตาสัญญาณลด QE จากธนาคารกลางสหรัฐ ขณะที่ปัจจัยในประเทศลุ้นตัวเลขการค้าเดือนสิงหาคม ทั้งส่งออกและนำเข้า ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 33.35/37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวการณ์เคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันอังคารที่ 21 กันยายน 2564 ว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (21/9) ที่ระดับ 33.38/39 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (20/9) ที่ระดับ 33.33/35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงปรับตัวแข็งค่าอย่างต่อเนื่องในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากบริษัทเอเวอร์แกรนด์ออกแถลงการณ์ยอมรับว่า บริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
ซึ่งบริษัทมีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 งวดในเดือนนี้ โดยในวันที่ 23 กันยายน บริษัทมีกำหนดชำระดอกเบี้ย 83.5 ล้านดอลลาร์ของหุ้นกู้ที่มีกำหนดครบอายุเดือนมีนาคคม 2565 และในวันที่ 29 กันยายนนี้ บริษัทมีกำหนดชำระดอกเบี้ย 47.5 ล้านดอลลาร์ของหุ้นกู้ที่ครบอายุเดือนมีนาคม 2567
ด้านนายแลร์รี่ เบรนนาร์ด นักวิเคราะห์จากบริษัททีเอส ลอมบาร์ด เตือนว่า การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์จะทำให้วิกฤตการณ์ทางการเงินลุกลามออกไปจนอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ตลาดกำลังจับตาการประชุม ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในระหว่างวันที่ 21-22 กันยายน โดยคาดว่าน่าจะมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าทางเฟดจะยังคงไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ยังคงเฝ้าติดตามภาวะตลาดแรงงานและตัวเลขเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม หากประมาณการ Dot Plot บ่งชี้ว่าเฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2565 ซึ่งเร็วกว่าประมาณการที่เฟดเคยเปิดเผยไว้นั้น ค่าเงินดอลลาร์ก็มีโอกาสปรับตัวแข็งค่าขึ้นอีกได้
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ในสัปดาห์นี้นักลงทุนจับตาดูตัวเลขการค้าเดือนสิงหาคม ซึ่งจะเปิดเผยในวันที่ 23 กันยายนนี้ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกและนำเข้า อาจเติบโตในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปี
นอกจากนี้คาดว่านายกรัฐมนตรีจะพิจารณาข้อเสนอขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% ต่อจีดีพี เป็นไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี เป็นการชั่วคราว เพื่อกลบหลุมรายได้จากวิกฤตโควิด-19 โดยระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 33.36-33.48 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.35/37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้านี้ (21/9) ที่ระดับ 1.1733/34 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (20/9) ที่ระดับ 1.1712/14 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรอยู่ในช่วงอ่อนค่าตามการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตามได้รับแรงหนุนเล็กน้อย หลังจากที่เมื่อวานนี้ได้มีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนี (PPI) เดือนสิงหาคม ขยายตัว 1.5% เมื่อเทียบเป็นรายเดือนดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 0.8% และหากเทียบเป็นรายปี ขยายตัว 12.0% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 11.4%
โดยระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1718-1.1740 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1730/32 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (21/9) ที่ระดับ 109.53/55 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (20/9) ที่ระดับ 109.53/55 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (20/9) ที่ระดับ 109.53/55 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน
นอกจากนี้นักลงทุนกำลังจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันพุธที่ 22 กันยายนนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงินแต่อย่างใด โดยระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 109.34-109.71 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 109.57/59 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ ที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (POMC) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย, ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2/64, ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือน ก.ย.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ยอดขายบ้านมือสองเดือน ส.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือน ก.ย.จากมาร์กิต และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ +0.60/+0.70 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ +3.00/+4.00 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ
อ่านข่าวต้นฉบับ: ดอลลาร์แข็งค่า ท่ามกลางปัจจัยลบ ตลาดจับตาสัญญาณลด QE จากเฟด
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวการเงิน #การเงินการลงทุน