ปิดฉากคดีโรงไฟฟ้าชีวมวลเขาไม้แก้ว หลังลากยาว 11 ปี “กกพ.” ยึดตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน บ.เค เอส มาร์เก็ตติ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมวางมาตรการรัดกุมไม่ซ้ำรอย มั่นใจไม่กระทบการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล ด้านเอกชนหวั่นมาตรการสกรีนเข้มกระทบนักลงทุนหน้าใหม่
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรณีที่เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ออกให้แก่บริษัท เค เอส มาร์เก็ตติ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวลเขาไม้แก้ว จ.ปราจีนบุรี โดยให้มีผลนับแต่วันที่ออกใบอนุญาตดังกล่าว และให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เขาไม้แก้วนั้นดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งศาล ซึ่งทาง กกพ.ไม่ต้องดำเนินการอย่างใดอีก
คมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
“ที่ผ่านมาบริษัทดังกล่าวได้ขออนุญาตใบ รง.4 เมื่อปี 2553 ซึ่งขณะนี้เป็นไปตามกฎหมายควบคุมอาคาร แต่ภายหลังมีประกาศผังเมืองปี 2553-2554 ศาลชั้นต้นให้ฝ่ายโรงงานชนะ ต่อมาศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาต แต่เท่าที่ทราบบริษัทดังกล่าวได้ยุติการก่อสร้างตั้งแต่เกิดปัญหาชาวบ้านในพื้นที่คัดค้าน และได้ถูกยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไปแล้ว”
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ไม่ใช่กรณีแรกที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต จึงมองว่าจะไม่กระทบหรือเอฟเฟ็กต์ต่อการทำธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลในอนาคต ซึ่งก็ต้องยึดตามกฎหมายผังเมือง แต่แน่นอนว่าหลังจากนี้ทาง กกพ.ก็จะต้องมีการวางแนวทางการทำงานสำหรับการพิจารณาออกใบอนุญาตในอนาคต มั่นใจว่าปัญหาในลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้น
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมไฟฟ้ากล่าวว่า ประเด็นนี้ในวงการรู้ถึงที่มาที่ไปของผู้ประกอบการดังกล่าว และเมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของ กกพ. ทางเอกชนซึ่งเป็นผู้ประกอบการตัวจริงก็กังวลว่าต่อไป การขออนุญาตต่าง ๆ กับทาง กกพ.จะต้องดำเนินการรอบคอบรัดกุม เพราะคงต้องมีการวางมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น ปัญหาก็จะเกิดกับผู้ขออนุญาตรายใหม่ ๆ
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ถือเป็นการปิดฉากคดีโรงไฟฟ้าชีวมวลเขาไม้แก้วที่ลากยาวมานานกว่า 11 ปี นับจากปี 2553 หลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแล้ว นายก อบต.เขาไม้แก้ว ต้องปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 40 มาตรา 41 มาตรา 42 และมาตรา 43 กับการที่บริษัทก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตให้เสร็จสิ้นภายใน 180 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา
สำหรับคำสั่งเพิกถอนดังกล่าวแตกต่างจากศาลชั้นต้นที่มีมติให้โรงงานชนะ ซึ่งเป็นผลจากที่ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ในระหว่างที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานพิจารณาคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานของบริษัทอยู่นั้น พื้นที่ตั้งของโรงงานพิพาทได้มีการประกาศกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรีปี 2555 ซึ่งมีผลทำให้ต้องนำ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาใช้บังคับในพื้นที่ตั้งโรงงานพิพาทของบริษัทด้วย ดังนั้น นับแต่เวลาดังกล่าวการก่อสร้างอาคารโรงงานของบริษัทก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายที่ใช้บังคับ ขณะนั้นการก่อสร้างอาคารเพื่อประกอบกิจการโรงงานพิพาทจึงต้องได้รับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มิใช่เป็นกรณีที่บริษัทมีสิทธิก่อสร้างอาคารโรงงานโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตอีกต่อไป
นอกจากนี้ เมื่อมีการประกาศกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. 2555 ในพื้นที่ที่ตั้งโรงงานพิพาทแล้ว การใช้ประโยชน์ในที่ดินก็จะต้องไม่ผิดไปจากที่กำหนดไว้ในผังเมืองรวมตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2518 ด้วย
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพื้นที่ตำบลเขาไม้แก้ว ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานพิพาทถูกกำหนดเป็นที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม ซึ่งเป็นที่ดินสำหรับใช้ประโยชน์เพื่อเกษตรกรรม หรือเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม การอยู่อาศัย สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ต้องห้ามใช้ประโยชน์ประกอบกิจการโรงงานทุกจำพวก
อีกทั้งโรงงานไฟฟ้าไม่ใช่โรงงานตามประเภท ชนิด และจำพวกที่ให้ดำเนินการได้ตามบัญชีท้ายกฎกระทรวง การขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานเพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ขนาดกำลังผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 9.9 เมกะวัตต์ของบริษัทจึงเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินผิดไปจากที่กำหนดไว้ในผังเมืองรวม หรือปฏิบัติการใด ๆ ซึ่งขัดกับข้อกำหนดของผังเมืองรวม ตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2518
และเมื่อการประกอบกิจการโรงงานของบริษัทจะต้องมีการก่อสร้างอาคารโรงงานแล้ว การใช้ประโยชน์ที่ดินเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารตาม พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2518 จึงต้องสอดคล้องกับ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กล่าวคือ เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินต้องได้ใช้ประโยชน์ที่ดินโดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารแล้วจึงจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามพยานหลักฐานในสำนวนคดีว่านับแต่ที่บริษัทยื่นคำขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานพิพาทเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 จนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 ที่มีการประกาศกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. 2555 บริษัทเพียงแต่ได้มีการจัดเตรียมพื้นที่และจัดหาวัสดุก่อสร้างเพื่อเตรียมการก่อสร้างอาคารโรงงานเท่านั้น ยังมิได้เริ่มลงมือดำเนินการก่อสร้างอาคารโรงงานพิพาท
ส่วนการขุดสระน้ำหรือบ่อน้ำขนาดใหญ่ในที่ดินที่ตั้งโรงงานที่มีประชาชนร้องเรียนนั้น เห็นว่าการขุดบ่อเก็บน้ำดิบดังกล่าวบริษัทเพิ่งเริ่มดำเนินการอย่างเร็วที่สุดในวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 อันเป็นเวลาภายหลังมีประกาศกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. 2555 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 อีกทั้งเป็นการขุดดินถมดินโดยที่ยังไม่ได้รับใบรับแจ้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตามมาตรา 17 วรรคสอง และมาตรา 26 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.การขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543
กรณีนี้จึงไม่อาจถือว่าบริษัทซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้ใช้ประโยชน์ที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายมาก่อนที่จะมีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม และจะใช้ที่ดินเช่นนั้นต่อไป ตามมาตรา 27 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2518
ดังนั้น การประกอบกิจการโรงงานเพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าขนาดกำลังผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 9.9 เมกะวัตต์ตามคำขอใบอนุญาตประกอบกิจการลงวันที่ 22 มิถุนายน 2553 ของบริษัทจึงต้องห้ามตามข้อ 11 วรรคสอง (1) ของกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. 2555
และไม่อาจถือเป็นการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานที่มีที่ตั้งในทำเลและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ตามข้อ 4 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความใน พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 25 (พ.ศ. 2559) ประกอบมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 การที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานที่ (สรข.5) 02-58/2556 ทะเบียนโรงงานเลขที่ 3-88-43/56ปจ ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2556 ให้แก่บริษัท เค เอส มาร์เก็ตติ้งฯ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อ่านข่าวต้นฉบับ: ปิด “โรงไฟฟ้าชีวมวลเขาไม้แก้ว” สู้กัน 11 ปี ศาลปกครองถอนใบอนุญาต
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวเศรษฐกิจ #เศรษฐกิจการค้า