สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอ “7 S Recovery” ชงรัฐเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยทันที ก่อนที่จะสายเกินแก้ ชี้ 2 ปีโควิด มูลค่าค้าปลีกและบริการสูญหายกว่า 8 แสนล้านบาท มีคนว่างงานและผู้เสมือนว่างงาน และแรงงานนอกระบบ เพิ่มขึ้น 3.2 ล้านคน
วันที่ 28 ตุลาคม 2564 นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศภูมิภาคอาเซียนที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำสุด และยังมีแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ลึกและกว้าง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบจากโควิด
รัฐบาลจึงต้องเร่งเครื่องเพื่อผลักดันให้ฟื้นตัวโดยเร็วจากปัจจุบันที่จีดีพีติดลบอย่างต่อเนื่อง ด้วยการวางกลยุทธ์และแผนรองรับในการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ แนวทางของการฟื้นฟูจึงควรต้องเริ่มจากการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนไปจนถึงการวางรากฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน
ทั้งนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จึงนำเสนอแนวทาง “7 S Recovery” เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยโดยเร่งด่วน ดังนี้
Stimulus Consumption: กระตุ้นการบริโภค
เนื่องจากประเทศไทย ณ ขณะนี้ต้องการการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระบบไม่ใช่แค่เยียวยา แต่ต้องเป็นการฟื้นฟูให้ลุกขึ้นมาเดินหน้าธุรกิจ ก้าวแรกคงต้องเป็นหน้าที่ภาครัฐที่ต้องอัดฉีดเม็ดเงิน เข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว ตรงเป้า และมีประสิทธิภาพเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ด้วยแผน
ส่งเสริมให้คนไทย เที่ยวไทย ใช้ของไทยในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงไตรมาสหนึ่งของปีหน้า (พฤศจิกายน 2564 – มิถุนายน 2565)
เพิ่มวงเงินโครงการคนละครึ่ง และยิ่งใช้ยิ่งได้ รวมทั้งนำโครงการช้อปดีมีคืนกลับมาใช้โดยเพิ่มวงเงินเป็น 2 แสนบาท จากเดือนธันวาคมข้ามปีจนถึงเดือนกุมภาพันธ์
รัฐบาลจะต้องมีนโยบายลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภค ด้วยการลดค่าสาธารณูปโภค ค่าอินเตอร์เน็ต นับจากเดือนธันวาคม 2564 จนถึงเดือนมิถุนายน 2565
โดยรวมแล้ว S แรก จะสามารถสร้างเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จากนี้ไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2565 ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านล้านบาท หรือราว 10% ของ GDP
Support Employment: สนับสนุนการจ้างงาน
การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อการจ้างงานโดยเฉพาะภาคการค้าและบริการที่มีการจ้างงานกว่า 11.2 ล้านคน และส่วนใหญ่ก็เป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งคาดว่าแรงงานในกลุ่มนี้จะมีคนว่างงานและผู้เสมือนว่างงาน (ผู้ที่ทำงานไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) ไม่น้อยกว่า 3.2 ล้านคน ภาครัฐต้องมีนโยบาย
มาตรการรักษาการจ้างงาน ลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยมาตรการภาษี เพื่อไม่ให้มีการลดพนักงานหรือเลิกจ้าง
ทดลองใช้การจ้างงานแบบรายชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับการบริการต่อผู้บริโภคที่มาเป็นช่วงเวลา โดยให้ใช้กับธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารเป็นการเฉพาะก่อน
มาตรการ Upskill Reskill และ New Skill แก่แรงงานเพื่อให้ทักษะตรงตามความต้องการ และส่งเสริมการเรียนรู้ทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
Strengthen SME: เพิ่มความแข็งแกร่งเอสเอ็มอี
จากข้อมูลของ สสว. พบว่า จำนวน SME ทั่วประเทศ มีกว่า 3,070,177 ราย ซึ่ง 44.58% อยู่ในภาคการค้าปลีก และ 35.73% อยู่ในภาคบริการ อาหารและเครื่องดื่ม รัฐต้องจัดหาแหล่งเงินทุนอย่างเร่งด่วน เพื่อพยุง SME เหล่านี้ ให้อยู่รอด
โดยเฉพาะ SME ขนาดย่อมที่เข้าถึงแหล่งทุนได้ยากกว่ารายใหญ่ รวมทั้งควรมีมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ให้กับ SME รายที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพื่อให้ธุรกิจกลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว รักษาระดับการจ้างงาน ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจไทยกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง
Speed Up Digital Economy: เพิ่มสปีดเศรษฐกิจดิจิทัล
รัฐบาลต้องมีนโยบายในการลดกฎระเบียบ และพัฒนาระบบ Cloud Computing, AI และ Data Center ให้พร้อมรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น รัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างวงจรบวกในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้กับผู้ที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับโลกออนไลน์ เพราะทักษะดิจิทัลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้
TRA Poll ชี้ค้าปลีก-ค้าส่ง เห็นด้วยเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้
บิ๊กเนมค้าปลีกลุ้นคลายล็อกเพิ่ม จ่อผุด “เคานต์ดาวน์ 2022” ส่งท้ายปี
ผ่อนปรนมาตรการ ดันดัชนีเชื่อมั่นค้าปลีกเดือน ก.ย. ดีดเพิ่ม 2 เท่า
Simplify Regulation: กฎหมายกฎระเบียบให้ง่ายและสะดวก
ปรับกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่จะช่วยให้การประกอบธุรกิจง่ายและสะดวกมากขึ้น (Ease of Doing Business) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้โดยตรง และลดค่าเสียโอกาสของธุรกิจได้ถึง 1.3 แสนล้านบาทต่อปี หรือ 0.8% ของจีดีพีไทย การแก้ไขกระบวนการดังกล่าวจะเป็นการฟื้นเศรษฐกิจได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
Sustainable Public Health: สร้างระบบสาธารณสุขยั่งยืน
ระบบสาธารณสุขเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญและละเลยไม่ได้ โดยต้องมีแผน ดังนี้
Monitoring ควบคุม และระมัดระวัง การแพร่ระบาดของโควิดอย่างใกล้ชิด สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีและตรงจุด อาทิ หากเปิดประเทศแล้วมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ขอให้พิจารณาล็อกดาวน์ในพื้นที่โซนที่เกิดการแพร่กระจายของโรค ไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์ทั้งประเทศ
Protection ผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการ Covid Free Setting อย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันการระบาด
Build Herd Immunity รัฐต้องเร่งการฉีดวัคซีนให้ครบ 2 โดส อย่างน้อย 70% ของประชาชนไทยทั้งประเทศเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ หรือเร่งฉีดให้ครบโดสในพื้นที่จังหวัดนำร่องการเปิดประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา
Stay Healthy ประชาชนการ์ดต้องไม่ตก และต้องเคร่งครัดมาตรฐานด้านสุขอนามัยแบบ Universal Prevention
Spike Up Private Investment: หนุนลงทุนเอกชน
ภาครัฐต้องมีการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพราะจะทำให้เกิดการผลิตและการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การบริโภคของประชาชนขยายตัวได้อย่างทันทีและจะนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
นายญนน์ กล่าวด้วยว่า สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เล็งเห็นว่านี่คือช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นโค้งสุดท้ายของวิกฤตโควิดและเป็นโค้งแรกแห่งความหวังใหม่ของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในปัจจุบันจึงต้องมองข้ามช็อตถึงอนาคต มากกว่าการพึ่งพาการเยียวยาเพียงอย่างเดียว
ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยกลยุทธ์ที่เข้มแข็ง ลงมือปฏิบัติจริงจังและทันที เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโควิดอย่างไม่ประมาทบนพื้นฐานของมาตรการความปลอดภัย เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคัก พร้อมสำหรับการเปิดประเทศต้อนรับทุกคนอย่างไร้กังวล
เนื่องจากจนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ปีที่การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทย คนไทยติดเชื้อรวม 1.85 ล้านราย และยังส่งผลให้มูลค่าค้าปลีกและบริการสูญหายกว่า 8 แสนล้านบาท มีคนว่างงานและผู้เสมือนว่างงาน (ผู้ที่ทำงานไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) และแรงงานนอกระบบ เพิ่มขึ้นประมาณ 3.2 ล้านคน
หนี้ภาคธุรกิจและครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เงินออมและเงินในกระเป๋าทุกภาคส่วนร่อยหรอลงไปทุกที เรากำลังเข้าสู่เฮือกสุดท้าย ดังนั้นการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องลงมือทำทันที
กลุ่มค้าปลีก เดินหน้าโรดแมปเปิดประเทศ ร่วมพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย
อ่านข่าวต้นฉบับ: 7s Recovery สูตรฟื้นเศรษฐกิจจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทย
Link : Read More
Credit : https://www.prachachat.net
Tags : #ข่าวธุรกิจ #ธุรกิจ-การตลาด